วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

แบคทีเรีย

Bacteria
Staphylococus aureus (โรคอาหารเป็นพิษ)
           
            Staphyloccus aureus เป็นแบคทีเรียก่อโรค (pathogen) ที่สำคัญในอาหาร แบคทีเรียชนิดนี้ย้อมติดสีแกรมบวก (Gram positive bacteria) มีรูปร่างเป็นทรงกลม (cocus) อยู่รวมกันเป็นพวงคล้ายพวงองุ่น ไม่สร้างสปอร์ (non-spore forming bacteria ดู bacterial spore ด้วย) ไม่เคลื่อนไหว ส่วนใหญ่ไม่มีแคพซูล ให้ผลบวกในการทดสอบ catalase และในภาวะที่ไม่มีออกซิเจนจะสลายน้ำตาลกลูโคสให้กรดอินทรีย์ จัดอยู่ในกลุ่ม facultative anaerobe คือเจริญได้ในที่มีอากาศและไม่มีอากาศ แต่เจริญได้ดีกว่าในสภาวะที่มีอากาศStaphylococcus aureus สร้างสารพิษ (toxin) ชนิดเอนทีโรทอกซิน (enterotoxin) สารพิษที่สร้างมีสมบัติพิเศษ คือ ทนความร้อน

ลักษณะรูปร่าง
Staphylococus aureus มีรูปร่างกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.7 1.2 ไมโครเมตร
ส่วนใหญ่มีการเรียงตัวอยู่เป็นกลุ่มคล้ายพวงองุ่น ( grapelike cluster ) บางครั้งอาจพบเดี่ยวๆเป็นคู่ หรือเป็นสายสั้นๆได้ โดยเฉพาะถ้าเพาะเลี้ยงในอาหารเหลว เชื้อนี้ย้อมติดสีแกรมบวก แต่ถ้าเป็นเชื้อที่เพาะเลี้ยงไว้นาน หรือเชื้อที่ตายแล้วอาจมีขนาดและการติดสีผิวไปได้เชื้อนี้ไม่มีแฟลกเจลลา ไม่เคลื่อนที่ และไม่สร้างสปอร์
             Staphylococus aureus มีชั้นเปปติโดไกลแคน (peptidoglycan) ของผนังเซลล์ที่หนาและมีกรดไตโคลิกกระจายอยู่ทั่วไปทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง จะถูกทำลายได้ด้วยกรดเข้มข้นหรือไลโซไซม์เท่านั้น ชั้นของเปปติโดไกลแคนนี้มีคุณสมบัติเป็นแอนติเจน และมีความจำเพาะสำหรับ Staphylococus aureus สายพันธุ์ต่างๆถัดจากชั้นเปปติโดไกลแคนเป็นชั้นโปรตีน Staphylococus aureus เกือบทุกสายพันธุ์จะมีโปรตีนชนิดหนึ่งเรียกว่า โปรตีน เอซึ่งมีคุณสมบัติกับส่วน Fc ของอิมมิวโนโกลบุลิน จี ( IgG)  โดยส่วนของของ  Fab ยังคงจับกับแอนติเจนได้ โปรตีนเอ นี้นำไปใช้ประโยชน์ในการพิสูจน์ และแยกสายพันธุ์ของเชื้อได้ด้วยวิธีโคแอกกลูติเนชัน (coagglutination) ที่ผนังเซลล์ของ Staphylococus aureus ยังมีเอนไซม์โคแอกกูเลสซึ่งเมื่อทำปฏิกิริยากับไฟบริโนเจนในพลาสมา ทำให้เชื้อเกิดกลุ่มได้ เอนไซม์นี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า clumping factor ”นอกจากนี้ Staphylococus aureus บางสายพันธุ์มีแคบซูลทำให้เชื้อไม่ถูกจับกินโดยกระบวนการ
นิเวศวิทยา
            เชื้อ Staphylococcus aureus จะมีชีวิตอยู่ในอากาศ ฝุ่นละออง ขยะมูลฝอย น้ำ
 อาหารและนม หรืออาหารบรรจุเสร็จ สภาวะแวดล้อมภายนอกมนุษย์และสัตว์ ซึ่งมนุษย์และสัตว์นั้นเป็นแหล่งปฐมภูมิของเชื้อชนิดนี้โดยจะพบอยู่ตามทางเดินหายใจ ลำคอ หรือ เส้นผมและผิวหนังถึง 50% หรือมากกว่านี้ในคนที่มีสุขภาพดี และอาจพบเชื้อชนิดนี้ 60-80 %ในผู้ที่สัมผัสโดยตรงกับผู้ป่วยหรือผู้ที่สัมผัสกับสภาพแวดล้อมในโรงพยาบาล ตลอดจนผู้ประกอบอาหาร รวมทั้งในขั้นตอนของการบรรจุและสภาพแวดล้อมภายนอกนั้นก็เป็นสาเหตุส่วนใหญ่ที่ทำให้เกิดการปนเปื้อน  สิ่งที่ต้องคำนึงถึงอีกอย่างหนึ่งก็คือการเก็บอาหารไว้ในอุณหภูมิที่ไม่เหมาะสมเป็นผลให้อาหารที่มีการปนเปื้อนอยู่แล้วมีการเพิ่มจำนวนของเชื้อและสร้างสารพิษอย่างรวดเร็ว
Staphylococus aureus เจริญได้ดีในอาหารเลี้ยงเชื้อธรรมดาเกือบทุกชนิด เป็นพวก facultative anaerobes คือ เจริญได้ทั้งในสภาวะที่มีออกซิเจน aerobic และไม่มีออกซิเจน
an-aerobic แต่เจริญได้ดีกว่าในที่มีออกซิเจน เชื้อจะเจริญได้ช่วงอุณหภูมิ 10 องศา(ซ)- 45 องศา(ซ) แต่ดีที่สุดที่ 37 องศา(ซ) สามารถเจริญได้ที่ pH 4.5 – 9.3 แต่ดีที่สุดที่ pH 7-7.5 ลักษณะโคโลนีกลม นูน ขอบเรียบ เป็นเงา ขนาดประมาณ 1-4 มม. Staphylococus aureus สามารถสร้างรงควัตถุสีเหลืองที่เรียกว่า triterpenoid carotenoids ทำให้เห็นโคโลนีเป็นสีเหลืองทอง ซึ่งเชื้อได้ชื่อตามลักษณะโคโลนี  aureus เป็นภาษาละตินแปลว่า สีเหลืองทอง การสร้างรงควัตถุของเชื้อนี้จะเห็นได้ชัดขึ้นเมื่อบ่มเชื้อไว้ที่อุณหภูมิห้อง(20 25) องศา(ซ) ต่อไปอีก 24 ชม.- 48 ชม แต่เชื้อจะไม่สร้างรงควัตถุในที่ไม่มีออกซิเจนหรือในอาหารเหลว( broth) Staphylococus aureus  เกือบทุกสายพันธุ์สลายเม็ดเลือดได้ ซึ่งเมื่อเพาะเลี้ยงเชื้อบน blood agar จะเห็นโซนใส รอบๆโคโลนี และถ้าเป็นสายพันธุ์ที่สร้างแคบซูลได้จะมีโคโลนีเหนียว เยิ้ม
            Staphylococus aureus สามารถย่อยน้ำตาลได้หลายชนิดโดยจะย่อยในแบบใช้ออกซิเจน ( respiration ) และแบบการหมักไม่ใช้ออกซิเจน ( fermentation )ผลผลิตของการหมักย่อยน้ำตาลจะได้กรดแลกติก แต่ไม่ให้ก๊าซ Staphylococus aureus จะทนความแห้งและความและความร้อนได้ดี ( 50 องศาเซลเซียส)30 นาที นอกจากนี้ยังสามารถเจริญได้ในอาหารที่มีเหลือความเข้มข้นสูง 15% Nacl ซึ่งต่างกับแบคทีเรียทั่วๆไป
ลักษณะทางการก่อโรค
            Staphylococus aureus เป็นแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษ อาการเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันด้วยอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดท้องบิด ถ่ายเป็นน้ำ อาการอาจหายภายใน 1-3 วัน เด็กเล็กและคนสูงอายุอาจเสียชีวิตได้   Staphylococus aureus เป็นแบคทีเรียที่ถูกทำลายได้ง่ายแต่ enterotoxin ที่แบคทีเรีสร้างไว้ในอาหารนั้นไม่ถูกทำลายถึงแม้ว่าผ่านกระบวนต่างๆ ในการประกอบอาหาร อาหารที่ปนเปื้อนเชื้อและเป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษนั้นมักมีแหล่งกำเนิดจากสัตว์ รวมทั้งผลิตภัณฑ์จากนม custard ขนมปังที่สอดใส้ด้วยครีม,แฮม, processed meat, เนยแข็งที่ทำเป็นอุตสาหกรรมภายในบ้าน,ไอศกรีม,ซอสและสลัดไก่ เป็นต้น คนเป็นแหล่งที่สำคัญในการทำให้เกิดการปนเปื้อนของเชื้อหลังจากอาหารผ่านการปรุงแล้ว
            Staphylococus aureus ปกติพบอยู่ทั่วไปในอากาศ ในฝุ่นละอองและเป็นจุลชีพประจำถิ่นของผิวหนังและเยื่อเมือก ดังนั้นการเป็รโรคอาหารเป็นพิษจาก Staphylococus aureus นั้นอาจเกิดจากเชื้อที่มือ บาดแผล หรือจากทางเดินหายใจส่วนต้นที่จมูกของผู้ปรุงไปยังอาหาร และอาหารนั้นถูกเก็บในอุณหภูมิที่เชื้อแบ่งตัวเพิ่มจำนวนและสร้าง enterotoxin นอกจากคนแล้ว โคเป็นอีกแหล่งหนึ่งในการแพร่เชื้อ Staphylococus aureus ที่ก่อโรค รวมทั้งนมสดและผลิตภัณฑ์จากนมสดเช่นครีมและเนยแข็ง
            พยาธิสภาพเกิดขึ้นเนื่องจากการรับประทานอาหารที่มี enterotoxin ประมาณ 1-25 ไมโครกรัมหรือปริมาณที่สร้างจากเชื้อในราว 10กำลัง6 เซลล์ต่อกรัมอาหาร เมื่อทอกซินถูกดูดซึมที่กระเพาะอาหาร จะไปกระตุ้นเส้นประสาท vagus และ sympathetic nerves ไปยัง subcortical vomiting center ที่สมอง ทำให้เกิดการอาเจียนขึ้น ดังนั้น enterotoxin  ของ Staphylococus aureus จัดเป็น emetic enterotoxin  ในขณะเดียวกันทำให้เกิดการเพิ่มของปริมาณ cAMP ในเยื่อบุผนังลำไส้ เป็นผลให้เกิดอาการอุจจาระร่วงเป็นน้ำ ปัจจุบันพบว่า SE เป็น superantigens ที่กระตุ้น T-lymphocytes แบบไม่จำเพาะทั้ง in vitro และ in vivo สามารถชักนำแกมมาอินเตอร์เฟอรอน ซึ่งมีบทบาทกระตุ้นหรือยับยั้งการทำงานต่างๆในระบบภูมิคุ้มกัน ก่อให้เกิดอาการและความต้านทานต่อการติดเชื้อชนิดอื่นได้ นอกจากนี้ยังพบการสะสมลิมโฟไซต์ในเยื่อบุทางเดินอาหารอาจมีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับอาการของโรค
            ลักษณะอาการที่บ่งบอกว่าติดเชื้อ Staphylococcus aureus นั้นจะแสดงให้เห็นอย่างรวดเร็วและรุนแรงในหลายๆกรณี โดยทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับสภาพความต้านทานสารพิษของร่างกาย ปริมาณการปนเปื้อนของเชื้อในอาหารและปริมาณสารพิษที่สร้างขึ้นในอาหาร รวมทั้งสภาพร่างกายโดยทั่วไปของผู้ที่ได้รับเชื้อด้วย อาการทั่วไปที่พบคือผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียน เป็นตะคริวในช่องท้องแลอ่อนเพลีย ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการอื่นแทรกซ้อน หลายรายจะมีอาการปวดหัว เป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อ และมีการเปลี่ยนแปลงความดันโลหิตเป็นระยะ ๆ รวมทั้งอาจมีการเต้นของชีพจรผิดปกติซึ่งโดยทั่วไปอาการจะดีขึ้นภายใน 2-3 วัน
            ปริมาณการติดเชื้อสามารถเกิดอาการได้เมื่อรับประทานอาหารที่มีสารพิษน้อยกว่า 1 ไมโครกรัมที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งสารพิษชนิดนี้จะมีปริมาณสูงมากเมื่อมีเชื้อถึง 100,000 ต่อกรัมอาหารการวินิจฉัยอาการป่วยในคนและวิธีการตรวจเชื้อ Staphylococcus aureus ที่ได้ผลดีนั้นนิยมใช้วิธี ทางเซรุ่มวิทยา (serology)
           

            อาการของโรคอาหารเป็นพิษเนื่องจาก Staphylococus aureus เกิดขึ้นภายใน 1-6 ชั่วโมงหลังจากรับประทานอาหารที่มี enterotoxin ของ Staphylococus aureus อาการที่เกิดขึ้นได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียนอย่างรุณแรง ปวดบิดในท้อง ถ่ายเป็นน้ำ มักไม่มีไข้ อุจจาระร่วงเกิดพร้อมกับอาเจียน ปวดศีรษะ เหงื่อออก หนาวสั่น ในรายอาการที่รุณแรงอาจมีมูกเลือดและปนกับอุจจาระ

การวินิจฉัย
            ปริมาณการติดเชื้อ สามารถเกิดอาการได้เมื่อรับประทานอาหารที่มีสารพิษน้อยกว่า 1 ไมโครกรัมที่ปนเปื้อนในอาหาร ซึ่งสารพิษชนิดนี้จะมีปริมาณสูงมากเมื่อมีเชื้อถึง 100,000 ต่อกรัมอาหาร
โดยทั่วไปการตรวจหา Staphylococus aureus      ในอาหารมีวัตถุประสงค์ 4 ประการ
            1.เพื่อยืนยันการพบ Staphylococus aureus หลังจากเกิดการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษ
            2.เพื่อที่จะตัดสินว่าอาหารนั้นเป็นสื่อของการระบาดของโรคอาหารเป็นพิษจาก S. aureus
            3.เพื่อพิสูจน์ว่ามีการปนเปื้อนหลังจากการผ่านกระบวนการประกอบอาหารมาแล้ว
            4.เพื่อเฝ้าระวังและควบคุมระบบประกันคุณภาพของอาหาร
            อาหารที่เลือกจำเพาะที่ใช้แยก Staphylococus aureus ได้แก่ Staphylococcal Medium 100, Vogel-Johnson sugar,egg-yolk และ Baird- parker (Bp) agar สำหรับ BP gar นั้นเป็นอาหารเลือกจำเพาะที่ให้ผลน่าพอใจมากที่สุดในการนับ stressed cells หรือเชื้อที่ยังมีชีวิตแต่เจริญเติบโตยากเนื่องจากถูกอิทธิพลทางสิ่งแวดล้อมในกระบวนการการเก็บหรือประกอบอาหารเช่น ความเย็นจัด ความแห้ง หรือสารเคมีอาหารจำเพาะเหล่านี้ใช้นับ Staphylococus aureusในอาหารที่มีจำนวนมากกว่า 100 เซลล์ต่อกรัมอาหาร ถ้าตัวอย่างอาหารมีการปนเปื้อน Staphylococus aureus มากกว่า 1,000 เซลล์ต่อกรัม ควรใช้ BP agar บ่มอาหารที่ 35 องศา(ซ)48 ชั่วโมง จะได้โคโลนีมีสีดำจนถึงเทาดำ กลมเรียบ นูน มัน และมีวงขาวขุ่นรอบโคโลนีอย่างไรก็ตามจำนวนการวินิจฉัยว่าอาหารเป็นสาเหตุของการระบาดควรตรวจพบ Staphylococus aureus มากว่า10กำลัง4 ตัว ต่อกรัมของอาหารขึ้นไป
            การทดสอบทางชีวเคมีที่ใช้แยก  Staphylococus aureus ออกจาก Staphylococci อื่นๆ คือ coagulase และ nuclease tests การทดสอบ enterotoxin จากโคโลนี ที่แยกได้หรือจากตัวอย่างอาหารที่สงสัยนั้นสามารถทำได้โดยนำไปป้อนให้สัตว์ทดลอง เช่น ลูกแมวหรือลูกลิงหรือใช้วิธีอิมมิวโนวิทยา เช่น microslide Ouchterlony technique (ซึ่งมีไวสามารถตรวจทอกซิน 0.1 ไมโครกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) , immunofluorescence, electroimmunodiffusion,hemagglutination ,reversed passive hemagglutinaytion (RPHA) สำหรับวิธีที่รวดเร็วกว่าเช่น ELISA  และ latex agglutination tests สามารถตรวจทอกซินในปริมาณน้อยเพียง 0.1-1.0 นาโนกรัมที่สกัดจากอาหาร นอกจากนี้มีการพัฒนานำวิธี DNA hybridization และPCR มาตรวจสอบหา enterotoxin ของ Staphylococus aureus
           
การรักษา
            ปกติอาการของผู้ป่วยจะค่อยๆหายเองภายในเวลา 24 ชั่วโมง มีประมาณร้อยละ 10 ที่มีอาการรุณแรง ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งรักษาตามอาการ ในรายที่ขาดน้ำควรให้น้ำเกลือทดแทน ไม่ควรให้ยาปฏิชีวนะ เพราะทำให้เชื้อดื้อยามากขึ้น

การป้องกัน
            ปกติโรคอาหารเป็นพิษจาก Staphylococus aureus มักเกิดจาก
1.            มือของผู้เป็นพาหะ ติดเชื้อมาจากสารคัดหลั่งจากจมูก
2.            มือที่มีเชื้อของคนที่เป็นพาหะมาประกอบอาหาร
3.            อาหารที่มีเชื้อปนเปื้อนไม่ได้เก็บในอุณหภูมิต่ำว่า 6-7องศาเซลเซียส ทำแบคทีเรียแบ่งตัวและสร้าง enterotoxin ได้
4.            อาหารที่รับประทานนั้นดิบ หรือปรุง/อุ่นที่ความร้อนน้อย หรือทำในเวลาสั้นๆไม่สามารถทำลาย enterotoxin ที่ทนต่อการต้มเป็นเวลา 30 นาที หรือมากกว่าก็ได้ ดังนั้นการควบคุมโรคอาหารเป็นพิษจาก Staphylococus aureus คือไม่ควรตั้งอาหารที่อุณภูมิห้องเป็นเวลานานก่อนรับประทานควรเก็บไว้ในตู้เย็นที่มีอุณหภูมิต่ำเพื่อไม่ให้ Staphylococus aureus แบ่งตัวก่อนที่จะนำไปประกอบหรือนำไปเสิร์ฟ ผู้ที่เป็นพาหะของเชื้อ Staphylococus aureus ไม่ควรสัมผัสอาหาร หรือใช้มือในการหยิบหรือจับอาหารที่ปรุงแล้ว

โรคไข้กาฬหลังแอ่น (MENINGOCOCCAL INFECTION)

 ลักษณะโรค
            เป็นโรคที่เกิดอย่างเฉียบพลัน มีสาเหตุจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Meningococcal ที่มีชื่อว่า Neisseria meningitidis



เชื้อก่อโรคไข้กาฬหลังแอ่น Neisseria meningitidis
จากกล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอน
ระบาดวิทยา

            สถานการณ์ทั่วโลก :
 มีรายงานการระบาดของโรคไข้กาฬหลังแอ่นเป็นกลุ่มก้อนเล็กๆ กระจายทั่วโลก แตกต่างกันตามฤดูกาลในแต่ละแห่ง ถิ่นที่มีอุบัติการณ์ของโรคสูงที่สุดอยู่ที่ African meningitisbelt ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางตั้งแต่เซเนกัลไปจนถึงเอธิโอเปีย มีประเทศที่ได้รับผลกระทบจากโรคทั้งประเทศหรือเป็นบางส่วนรวม 21 ประเทศ ในภูมิภาคนี้มีอัตราการติดเชื้อแบบประปราย (sporadic) สูงถึง 1 - 20 รายต่อประชากรแสนคน ที่มักเกิดเป็นประจำทุกปี และเกิดการระบาดใหญ่เป็นครั้งคราว โดยปกติเกิดจากเชื้อกลุ่มA ส่วนกลุ่ม C พบได้เป็นครั้งคราว และเมื่อไม่นานมานี้พบการระบาดของเชื้อกลุ่ม W-135 ในพื้นที่แถบ African meningitis belt การระบาดใหญ่อาจมีอุบัติการณ์สูงถึง 1,000 รายต่อประชากรแสนคน ซึ่งเกิดขึ้นทุกๆ 8 - 12 ปีในช่วงระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังเกิดการระบาดครั้งใหญ่ๆ เริ่มพบในประเทศอื่นๆที่ติดกันแต่ไม่จัดอยู่ใน African meningitis belt ด้วย เช่น เคนยา สหสาธารณรัฐแทนซาเนีย เป็นต้น
           
            สถานการณ์โรคในประเทศไทย : จากการทบทวนข้อมูลของสำนักระบาดวิทยาพบว่า มีรายงานผู้ป่วยด้วยโรคไข้กาฬหลังแอ่นทุกปี โดยในช่วงปี พ.ศ. 2536 - 2552มีรายงานผู้ป่วยอยู่ระหว่าง 15 - 74 รายต่อปีหรือคิดเป็นอัตราป่วยเท่ากับ 0.02 - 0.12 รายต่อประชากรแสนคน เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือนพบว่ามีรายงานผู้ป่วยประปรายตลอดทั้งปี โดยโรคนี้ไม่มีรูปแบบของการเกิดโรคตามฤดูกาลที่ชัดเจน และเมื่อพิจารณาอัตราป่วยในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา คือระหว่าง พ.ศ. 2543 - 2551พบแนวโน้มของอัตราป่วยลดลง แต่ในปี พ.ศ. 2552มีแนวโน้มสูงขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับปี พ.ศ. 2551 สำหรับอัตราป่วยตายแนวโน้มไม่ชัดเจน พบว่าปี7 พ.ศ. 2543 - 2546 อัตราป่วยตายมีแนวโน้มลดลง ปี พ.ศ. 2546 - 2550 มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปีและลดลงในปี พ.ศ. 2551 แต่ในปี 2552 มีแนวโน้มของอัตราป่วยตายสูงขึ้นเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2551 โดยโรคนี้เป็นได้กับคนทุกกลุ่มอายุ แต่มักพบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ โดยเฉพาะเด็กที่อายุตํ่ากว่า 5 ปี การระบาดมักมีขนาดเล็ก และมักพบมากในกลุ่มชนที่อาศัยอยู่รวมกันอย่างหนาแน่นและแออัด โดยเฉพาะในกลุ่มคนงานต่างด้าว
ลักษณะอาการ
             มีไข้สูงทันที ปวดศีรษะอย่างรุนแรงคลื่นไส้ อาเจียน คอแข็ง และกลัวแสง มีผื่นเลือดออกใต้ผิวหนัง (petechial rash) ร่วมกับปื้นสีชมพู (pink macules) อาการที่พบได้บ่อยที่สุดคือเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (meningitis) ส่วนผู้ป่วยที่เกิดภาวะติดเชื้อมีนิงโกคอกคัสในกระแสโลหิต(meningococcaemia) (ดังรูปที่ 22) หรืภาวะโลหิตเป็นพิษ (meningococcal sepsis)เป็นการติดเชื้อที่รุนแรงที่สุด ทำให้เกิดผื่นเลือดออกใต้ผิวหนัง ความดันโลหิตตํ่า (hypotension) เกิดการจับตัวเป็นลิ่มในหลอดเลือดแบบกระจายทั่วไป (disseminated intravascular coagulation) และการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ล้มเหลว (multiorgan failure) สำหรับรูปแบบอื่นๆ ของโรคไข้กาฬหลังแอ่น เช่น ปอดอักเสบ (pneumonia) ข้ออักเสบเป็นหนอง (purulent arthritis) และเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ (pericarditis) มักพบได้น้อยกว่า
เด็กทารกเพศหญิงอายุ 4 เดือน มีภาวะติดเชื้อ Meningococcal ในกระแสโลหิต
(meningococcaemia) พบ ลักษณะเนื้อตายที่แขน ขา (4 month old female with gangrene
of hands and lower extremities due to meningococcemia)
ระยะฟักตัวของโรค
โดยเฉลี่ย 3 - 4 วัน (พบได้ในช่วง 2 - 10 วัน)

การวินิจฉัยโรค
            การตรวจพบเชื้อ Meningococci จากบริเวณที่ปลอดเชื้อ คือ จากนํ้าไขสันหลัง (CSF) หรือจากเลือด อย่างไรก็ตาม ความไวในการเพาะเชื้อมักจะตํ่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ป่วยที่ได้รับยาปฏิชีวนะแล้ว ในรายที่ผลการเพาะเชื้อเป็นลบ การจำแนก group-specifi c meningococcal polysaccharides ในนํ้าไขสันหลังด้วยวิธี latex agglutination จะช่วยยืนยันการติดเชื้อได้ แต่ก็พบผลลบเทียมได้เสมอ โดยเฉพาะกับเชื้อกลุ่ม B การใช้ปฏิกิริยาลูกโซ่เอนไซม์ (Polymerase Chain Reaction)มีข้อดี คือช่วยในการตรวจพบ meningococcal DNAในนํ้าไขสันหลังหรือนํ้าเลือด (plasma) โดยไม่จำเป็นต้องเป็นเชื้อที่ยังมีชีวิต แต่วิธีการนี้ยังไม่แพร่หลายในหลายๆ ประเทศ อาจตรวจหาเชื้อ Neisseria ได้โดยการป้ายสไลด์จากผื่นที่ผิวหนังมาย้อมสีแกรม แล้วส่องดูด้วยกล้องจุลทรรศน์

การรักษา
             ยาเพนิซิลลิน (Penicillin) ฉีดในขนาดที่เพียงพอ เป็นยาที่แนะนำให้ใช้รักษาผู้ป่วยที่วินิจฉัยยืนยันว่าเป็นโรคนี้ ยาแอมพิซิลลิน (Ampicillin) และยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) มีประสิทธิผลดีในการรักษาโรคนี้เช่นกัน อย่างไรก็ดีในหลายๆ ประเทศรวมทั้งสเปน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา มีรายงานว่าพบเชื้อดื้อต่อยาเพนิซิลลิน (Penicillin) แล้วมีรายงานเชื้อดื้อยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol)ในฝรั่งเศสและเวียดนาม
         ควรเริ่มให้การรักษาทันทีที่การวินิจฉัยทางอาการบ่งชี้ว่าน่าจะเป็นโรคไข้กาฬหลังแอ่น แม้ว่าผลการตรวจหาเชื้อจะยังไม่ออกมาก็ตาม การรักษาในเด็กนั้นถ้ายังไม่ทราบเชื้อสาเหตุของโรค จะต้องให้การรักษาที่ครอบคลุมต่อ Haemophilus influenzae type b (Hib) และ Streptococcus pneumoniae ด้วย และแม้ว่ายาแอมพิซิลิน (Ampicillin) จะใช้ได้ดีกับเชื้อที่ไวต่อยาชนิดนี้ ก็ควรใช้ร่วมกับ third-generation Cephalosporin หรือยาคลอแรมเฟนิคอล (Chloramphenicol) หรือยาแวนโคมัยซิน (Vancomycin) ในแหล่งที่พบว่า H. influenzaetype b (Hib) ดื้อต่อยาแอมพิซิลิน (Ampicillin) หรือ S. pneumoniae ดื้อต่อยาเพนิซิลลิน (Penicillin) ผู้ป่วยด้วยโรคไข้กาฬหลังแอ่นหรือ Hib ควรได้รับยาไรแฟมปิซิน(Rifampicin) ก่อนที่จะออกจากโรงพยาบาล หากว่าไม่ได้รับการรักษาด้วยยาเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin)หรือยาซิโปรฟล็อกซาซิน (Ciprofl oxacin) ทั้งนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเชื้อได้รับการกำจัดหมดสิ้นแล้ว

 


โรคติดเชื้อฮิบ

            โรคติดเชื้อฮิบ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ฮิบ มีชื่อเต็มว่า ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ ชนิดบี (Haemophilus influenzae type b) เป็นเชื้อก่อโรคในร่างกายหลายระบบ โดยเฉพาะชนิดรุนแรง ได้แก่
การติดเชื้อในกระแสเลือด เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และปอดอักเสบ

การระบาด
            เด็กช่วงอายุ 2 เดือนถึง 5 ปี เป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโอกาสติดเชื้อได้มาก
            โดยเฉพาะเด็กอายุน้อยกว่า 2 ปี ที่อยู่รวมกันมากๆ เช่น
 สถานรับเลี้ยงเด็ก โรงเรียนอนุบาล

การติดต่อ

            เชื้อฮิบพบได้ในโพรงจมูก และลำคอของเด็กที่เจ็บป่วย คนปกติสามารถเป็นพาหะโรคได้โดยไม่มีอาการผิดปกติ การติดต่อของโรคเกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กป่วยโดยการไอจามรดกัน

อาการและอาการแสดง

            การติดเชื้อแสดงอาการได้หลายระบบ ได้แก่ การติดเชื้อในกระแสเลือด เด็กมีไข้สูง ร้องกวนงอแง อาเจียน ดูดนมน้อยลง อ่อนเพลีย ในรายที่อาการรุนแรงมาก เด็กมีอาการซึม หมดสติ และเสียชีวิตได้เยื้อหุ้มสมองอักเสบ อาการคล้ายการติดเชื้อในกระแสเลือด อาจพบกระหม่อมโป่งตึง ปวดศีรษะ คอแข็ง และชักได้ปอดอักเสบ เด็กมีไข้สูง ไอ หายใจเร็ว และหอบในรายที่มีอาการรุนแรงมาก มีอาการเขียวขาดออกซิเจน และเสียชีวิตได้หูชั้นกลางอักเสบ เด็กมีไข้ ปวดหู งอแง ถ้าเป็นมากลุกลามไปสมอง เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้กรณีติดเชื้อเรื้อรัง เกิดหูน้ำหนวกเรื้อรัง การได้ยินลดลงไซนัสอักเสบ เด็กมีไข้ น้ำมูก เรื้อรัง ไอ งอแง ปวดศีรษะ


การแทรกซ้อนของโรค

            เด็กมีอาการติดเชื้อในกระแสเลือด และได้รับการรักษาช้า มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ข้ออักเสบเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ กรณีเด็กติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองอักเสบ มีโอกาสเกิดภาวะหูตึงชัก พัฒนาการช้า และปัญญาอ่อนตามมาได้

การรักษา

            แพทย์รักษาโรคติดเชื้อฮิบ โดยการให้ยาปฏิชีวนะ ระวังภาวะแทรกซ้อนทางสมอง และระบบอื่นๆ โดยการรักษาได้ผลดีเมื่อรักษาตั้งแต่ระยะแรกของการติดเชื้อ การป้องกันโรคจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ดีที่สุด

การป้องกัน

            การป้องกันโรคติดเชื้อฮิบมีหลายวิธี สามารถปฏิบัติร่วมกันได้  การกินนมแม่ นมแม่มีภูมิคุ้มกันผ่านมาที่ลูกสามารถป้องกันโรคติดเชื้อฮิบในเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือนการมีสุขอนามัยที่ดี ล้างมือบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับเด็กป่วยการให้วัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อฮิบ เป็นวิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งที่มีประสิทธิภาพสู


แผลริมอ่อนเป็น

            แผลริมอ่อนเป็น โรคที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า Haemophilus Ducreyi โรคนี้ติดต่อได้ง่าย แต่ก็สามารถรักษาให้หายขาด โรคนี้จะทำให้เกิดแผลที่อวัยวะเพศ และต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบโต บางครั้งมีหนองไหลออกมาที่เรียกว่าฝีมะม่วง หากไม่รักษาจะเป็นสาเหตุให้เกิดการติดเชื้อ HIV ได้ง่าย
การติดต่อ
            โรคนี้ติดต่อได้สองวิธีคือ ติดต่อทางเพศสัมพันธ์ มีการสัมผัสแผลระหว่างที่มีเพศสัมพันธ์ติดต่อโดยการปนเปื้อนหนองไปติดผิวหนังส่วนอื่น
อาการและอาการแสดง
            ผู้ที่รับเชื้อนี้จะมีอาการหลังจากรับเชื้อแล้ว 3-10 วันอาการเริ่มต้นจะเป็นตุ่มนูนและมีอาการเจ็บมักจะเป็นบริเวณเส้นสองสลึง หลังจากนั้นจะมีแผลเล็กๆ ก้นแผลมีหนอง ขอบแผลนูนไม่เรียบ มีอาการเจ็บมาก แผลเล็กๆจะรวมกันเป็นแผลใหญ่แผลจะนุ่มไม่แข็ง (โรคซิฟิลิสจะมีขอบแผลแข็ง) จะมีอาการเจ็บแผลมากในผู้ชาย แต่ผู้หญิงอาจจะไม่มีอาการเจ็บทำให้เกิดการติดต่อสู่ผู้อื่นได้ง่ายต่อมน้ำเหลืองที่ขาหนีบจะโต กดเจ็บ บางคนแตกเป็นหนองที่เรียกว่าฝีมะม่วง


การรักษา
            Azithromycin 1 gram ครั้งเดียว
            Ceftriaxone 250 mg ฉีดเข้ากล้ามครั้งเดียว
            Ciprofloxacin 500 mg วันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน ไม่ควรให้ในคนท้อง
            Erythromycin 500 mg วันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 7 วันแผลมากจะดีขึ้นใน 3-7 วัน ระยะเวลาในการรักษาขึ้นกับขนาดของแผล แผลที่มีขนาดใหญ่อาจจะต้องใช้เวลาในการรักษา 2 สัปดาห์
การป้องกัน
            อย่าสำส่อนทางเพศใช้ถุงยางอนามัยที่ทำจากยางธรรมชาติ(ป้องกันได้เฉพาะอวัยวะเพศเท่านั้น ผิวหนังส่วนอื่นไม่สามารถป้องกัน)หากมีแผลให้งดการมีเพศสัมพันธ์
Shigella spp.
           
            โรคบิดชิเกลล่า (shigellosis) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียใน Genus Shigella จัดอยู่ในFamily Enterobacteriaceae เป็นแบคทีเรียที่ไม่สามารถเคลื่อนที่ได้ ชนิดแกรมลบ รูปท่อน ต้องการออกซิเจนในการดำรงชีวิต และไม่สร้างสปอร์
                เชื้อชิเกลล่าเป็นแบคทีเรียก่อโรคลำไส้ที่สำคัญ และรู้จักกันดีมาเป็นเวลานาน โดยในครั้งแรกเชื้อชิเกลล่าถูกจัดให้เป็นกลุ่มที่เกิดโรค bacillary diarrhea (dysentery) มาตั้งแต่คริสศตวรรษที่ 19 โดยเป็นสาเหตุให้เกิดอาการถ่ายอุจจาระมีเลือดออก และไม่มีเลือด โดยปกติมักพบสาเหตุเริ่มมาจากการแพร่ทางน้ำ ส่วนใหญ่พบในอุจจาระ การติดเชื้อเกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่มีเชื้อปนอยู่ จำนวนเชื้อที่กินเข้าไปเพียงเล็กน้อยประมาณ 200-1,000 ตัว ก็สามารถก่อโรคได้ ซึ่งต่างจากเชื้อก่อโรคในระบบทางเดินอาหารชนิดอื่นๆ ที่ต้องใช้ปริมาณมากกว่า เชื้อสามารถเข้าไปแบ่งตัวและสามารถทำลายเซลล์เยื่อบุลำไส้ใหญ่ เมื่อเซลล์ตายจะทำให้เกิดการอักเสบ เป็นหนอง และเกิดแผลในลำไส้
สาเหตุ
              genus shigella ในปัจจุบันนี้ ประกอบด้วย 4 สายพันธ์ คือ subgroup A (shigella dysenteraie) แบ่งออกเป็น 12 type: , subgroup B (shigella flexneri)แบ่งออกเป็น 6 typeและยังแบ่งย่อยออกเป็น subserotype 9 subserotype, subgroup C (shigella boydii) แบ่งออกเป็น 18 type และ subgroup D (shigella sonnnei) แบ่งออกเป็น 2 phase สำหรับsubgroup A, B และ C ยังแบ่งต่อไปอีก 40 serotypes โดยเขียนเรียงตามตัวเลขอารบิค ลักษณะจำเพาะของ plasmid มีส่วนเกี่ยวข้องกับความรุนแรงของโรค
ระบาดวิทยาของโรค
              พบได้ทั่วโลก สองในสามของผู้ป่วยและผู้ป่วยที่เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี โดยเฉพาะในระยะที่กำลังหย่านม การเจ็บป่วยในเด็กทารกอายุต่ำกว่า 6 เดือนพบไม่บ่อยนัก การติดเชื้อภายในบ้านเดียวกันพบได้บ่อยมาก คือพบตั้งแต่ร้อยละ 10 ถึง 40 การระบาดเกิดได้บ่อยในชุมชนแออัดและสุขาภิบาลไม่ดี เช่น คุก โรงเรียน ศูนย์รับเลี้ยงเด็ก โรงพยาบาลโรคจิตประสาท ที่พักแรมที่อยู่แออัด เรือเดินทางข้ามประเทศ เขตชุกชุมของโรคนี้มีทั้งในเขตร้อน และเขตอบอุ่น ผู้ป่วยที่ได้รับรายงานนั้นเป็นเพียงส่วนน้อยของผู้ป่วยทั้งหมด ถึงแม้จะเป็นประเทศพัฒนาแล้วก็ตาม โดยปกติพบว่ามีการติดเชื้อมากกว่า 1 serotype ในชุมชน สามารถพบการติดเชื้อร่วมกับเชื้อตัวอื่น ๆ ที่ก่อโรคในลำไส้ เชื้อที่แยกได้ในประเทศกำลังพัฒนาคือ S. boydii, S. dysenteriae และ S.flexneri ในประเทศพัฒนาแล้ว พบเชื้อ S.sonnei บ่อยมากขณะที่ S.dyserteriae ไม่ค่อยพบ
การติดต่อ
             จากการกินสิ่งปนเปื้อนอุจจาระของผู้ป่วยหรือผู้เป็นพาหะ อาจเป็นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม การติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้เพียงแต่กินเชื้อเข้าไปจำนวน 10-100 ตัว ผู้ติดเชื้อส่วนมากจะเป็นพวกที่ไม่ทำความสะอาดมือหลังจากถ่ายอุจจาระ การแพร่เชื้อโดยการสัมผัสทางตรงกับสิ่งของต่าง ๆ หรือสัมผัสทางอ้อมกับอาหาร ส่วนการแพร่เชื้อผ่านทางน้ำและอาหารโดย แมลงสาบ และแมลงวัน เกิดขึ้นได้จากสัตว์เหล่านี้นำเชื้อมาปนเปื้อน
ระยะฟักตัว
1-7 วัน ที่พบบ่อยคือ 1-3 วัน
ระยะติดต่อ
          ตั้งแต่ระยะติดเชื้อเฉียบพลันจนกระทั่งไม่พบเชื้อในอุจจาระ ซึ่งอาจจะนานถึง 4 สัปดาห์หลังการเจ็บป่วย พวกพาหะที่ไม่มีอาการสามารถแพร่เชื้อได้ แต่โอกาสที่เชื้อจะอยู่นานเป็นหลาย ๆ เดือนนั้นมีน้อย
อาการและอาการแสดง
           ไข้สูง อาจเกิน 38.50C นำมาก่อน 2-3 วัน เด็กอาจมีอาการชักร่วมด้วยปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำ ในวันแรกๆ วันต่อมาถ่ายเป็นมูกปนเลือดเหนียวๆ ซึ่งจะแยกมูกเลือดออกจากเนื้ออุจจาระเห็นได้ชัดเจน อาการท้องเดินและถ่ายเป็นมูกเลือดเกิดเนื่องจากเชื้อผ่านเข้าสู่ผนังลำไส้ ไม่ได้เกิดจากท็อกซิน ปวดเบ่ง มีอาการเหมือนถ่ายไม่สุด ถ่ายกระปริดกระปรอย อาจมีคลื่นไส้ อาเจียน

การวินิจฉัยโรค
           ทำได้โดยการแยกเชื้อจากอุจจาระหรือ rectal swab การดำเนินการทางห้องปฏิบัติการอย่างถูกต้องกับสิ่งส่งตรวจและใช้อาหารเลี้ยงเชื้อหลายๆ ชนิด พบว่าสามารถเพิ่มการแยกเชื้อShigella ได้ การติดเชื้อมักเกิดร่วมกับการพบหนองในอุจจาระ

การรักษา
           การวินิจฉัยได้แต่แรกมีความสำคัญ การให้น้ำและสารเกลือแร่เพื่อชดเชย เป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญที่สุด ยาปฏิชีวนะช่วยทำให้ระยะเวลาของการป่วยและการพบเชื้อในอุจจาระสั้นลง และควรเลือกใช้เฉพาะรายเมื่อมีเหตุผลสมควรในแง่ของความรุนแรงของการเจ็บป่วย หรือเพื่อป้องกันผู้สัมผัส เช่น ในศูนย์รับเลี้ยงเด็กหรือสถาบันต่าง ๆ ที่มีข้อบ่งชี้ทางระบาดวิทยาพบการดื้อต่อยาปฏิชีวนะหลาย ๆ ตัวได้บ่อย ดังนั้นการเลือกใช้ยาสำหรับเชื้อควรอาศัยผล antibiogram ของเชื้อที่แยกได้ หรือใช้ตาม antimicrobial susceptibility pattern ในท้องถิ่นนั้น และห้ามใช้ยาเพื่อลดการเคลื่อนไหวของลำไส้
เมื่อเพาะเชื้อจากอุจจาระพบเชื้อ Shigella spp. ยาปฏิชีวนะที่ให้
ในเด็กให้
 
1.            Norfloxacin 20· มก./กก./วัน นาน 3 วันหรือ
2.            Cotrimoxazole (trimetroprim)10· มก./กก./วัน นาน 5 วัน
3.            Furazolidone 5-8· มก./กก/วัน นาน 5 วัน
ในผู้ใหญ่
1.            Norfloxacin 800· มก.ต่อวัน นาน 3-5 วันหรือ
2.            Ciprofloxacin 1,000· มก.ต่อวัน นาน 3 วัน
3.            Cotrimoxazole160/800· มกวันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน


การป้องกัน
            1 สุขวิทยาส่วนบุคคลที่ถูกต้อง
            ล้างมือฟอกสบู่ ภายหลังเข้าห้องน้ำ
            ไม่อนุญาตให้ผู้ป่วยโรคบิดเข้าทำงานสัมผัสอาหาร
            ระวังการแพร่เชื้อให้คนอื่น โดยถ่ายอุจจาระลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ
            ล้างมือให้สะอาดก่อนเปิบข้าว และหลังถ่ายอุจจาระทุกครั้ง
            ควรแยกสำรับอาหารจากคนอื่น หรือถ้าจำเป็นต้องกินร่วมกับคนอื่น ควรใช้ช้อนกลาง
            เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว และเครื่องใช้ส่วนตัว อย่าใช้ปะปนกับคนอื่น






อ้างอิง
http://www.foodnetworksolution.com/wiki/word/3919/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81-staphylococcus-aureus

http://www.thailabonline.com/meningococcal.htm

http://www.bangkokhealth.com/index.php/health/health-year/children/163-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%AE%E0%B8%B4%E0%B8%9A.html

http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/std/Chancroid%20.htm#.VmHPatKLTIU

http://www.bangkokhealth.com/index.php/health/health-system/gastro/1707-%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9A%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%B2-shigellosis.html

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น