HELMINTHS
โรคพยาธิแส้ม้า (Trichuriasis)
ลักษณะทางถูมิศาสตร์
โรคพยาธิแส้ม้า พบได้ทั่วโลก โดยเฉพาะในท้องถิ่นที่มีอากาศอบอุ่นและมีความชื้น อาจพบได้ทั้งในคนและสัตว์ เช่น สุนัข สุกร แกะ และสัตว์อื่นๆ ในประเทศไทยมีประชาชนเป็นโรคนี้ร้อยละ 38.3 พบมากทางภาคใต้ ส่วนภาคอื่นๆพบได้ค่อนข้างน้อย
การก่อโรค
ได้แก่พยาธิตัวกลมที่มีชื่อว่า ทริเธอริส ทริคเธอร่า (Trichuris trichura) เป็นพวกนีมาโตดี (Nematode) โดยมากพบว่าอาศัยเกาะอยู่ในลำไส้ส่วนใกล้ไส้ติ่งเป็นโรคพยาธิของลำไส้ พยาธิจะไชหัวและส่วนหน้าของลำตัวฝังเข้าไปในเยื่อบุลำไส้ใหญ่ จึงทำให้เยื่อบุลำไส้เกิดเป็นแผลเล็กๆ และอาจทำให้มีอาการผิดปกติของทางเดินอาหาร ท้องเดิน น้ำหนักลด และโลหิตจาง
การติดต่อ
ติดต่อโดยไข่พยาธิในระยะติดต่อเข้าสู่ร่างกายทางอาหาร
อาการของโรค
ถ้ามีพยาธิน้อยอาจจะไม่เกิดอาการ แต่ถ้ามีพยาธิมากอาจจะเกิดอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรืออุจาระเป็นมูกเลือด ซีดอ่อนเพลีย ทั้งนี้เพราะพยาธิจะทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ และเกิดติดเชื้อแบคทีเรีย
วงจรชีวิต
พยาธิชนิดนี้มีรูปร่างคล้ายแส้ที่ใช้ตีม้า จึงเรียกว่าหนอนพยาธิแส้ม้า โดยมีลักษณะลำตัวตอนต้นหรือส่วนหัวเรียวเล็กเป็นเส้น ส่วนตอนหลังใหญ่หรือกว้างคล้ายด้ามแส้ตีม้า ตัวผู้จะยาวประมาณ 3-4 ซม. ปลายหางขดงอเป็นวง ตัวเมียยาวประมาณ 4-5 ซม. ปลายหางเหยียด ตัวเมียเมื่อผสมพันธุ์แล้วจะออกไข่มากับ
อุจจาระประมาณ 5,000-7,000 ฟองต่อวัน ไข่จะใช้เวลาในการฟักตัวบนพื้นดินประมาณ 2-3 อาทิตย์จึงจะมีตัวอ่อนของพยาธิอยู่ในไข่ ซึ่งเป็นระยะติดต่อไปสู่คนทางอาหาร เช่น การรับประทานผักสดหรือดื่มน้ำที่มีไข่ในระยะติดต่อเข้าไป ตัวอ่อนจะออกจากไข่แล้ว เกาะติดผนังลำไส้เจริญเติบโตเป็นตัวแก่ผสมพันธุ์และออกไข่ปะปนออกมากับอุจจาระเป็นวัฎจักรตัวพยาธิอาจมีชีวิตอยู่ในร่างคนได้ประมาณ 5 ปีจึงจะตาย ตั้งแต่รับประทานอาหารที่มีไข่พยาธิเข้าไปจนเจริญเป็นตัวแก่ สามารถปล่อยไข่ปนกับอุจจาระกินเวลาประมาณ 90 วัน
การวินิจฉัย
ตรวจอุจาระไข่และตัวแก่ในอุจาระ
ไข่จะมี plug ที่ขั้วทางปลายทั้งสองข้างมีเปลือกสีน้ำตาล
|
การรักษา
1.ใช้ยา Thiabendazole ขนาด 25 มก/กกหลังอาหาร เช้าเย็นเป็นเวลา 3วัน
การป้องกัน
1.ควรถ่ายอุจาระลงส้วม
2.ไม่ควรรับประทานผักสดที่ล้างไม่สะอาด
3.ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร
โรคพยาธิปากขอหรือ Ancylostomiasis เป็นโรคพยาธิลำไส้เล็กซึ่งมีสาเหตุจากพยาธิ Necator americanus และ Ancylostoma duodenale ทำให้ผู้ป่วยเสียเลือดและเกิดอาการจะโรคโลหิตจาง
ลักษณะทางภูมิศาสตร์
โดยทั่วไปการระบาดของโรคพยาธิปากขอมีอัตราสูงในเขตชนบท พบได้ในแทบทุกภาคของประเทศไทยภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคใต้ โดยเฉพาะภาคใต้มีอัตราการเป็นโรคสูงกว่าภาคอื่นๆของประเทศ จากการสำรวจในเด็กนักเรียนชั้นประถมในบางท้องที่ของภาคใต้ เช่น จังหวัดนครศรีธรรมราชมีอัตราการเกิดโรคพยาธิสูงถึง 80% นอกจากนั้นสภาพภูมิประเทศ และภูมิอากาศที่เอื้อต่อการเจริญเติบโตของไข่และตัวอ่อนพยาธิ พื้นดินที่มีร่มเงาที่ชื้นแฉะมีปริมาณอาหารอุดมสมบูรณ์ ซึ่งมักเป็นพวกซากเน่าเปื่อยของพืชผัก มีอากาศถ่ายเทสะดวก สภาพเป็นดินเหนียวปนทรายมีการดูดซึมน้ำได้ดี
ลักษณะของพยาธิปากขอ
พยาธิปากขอในคนทั้งสองชนิดเมื่อดูด้วยตาเปล่าเป็นรูปทรงกระบอกเรียวยาว ลักษณะคล้ายเส้นด้ายสั้นๆ ตัวเมียยาวประมาณ 1 เซนติเมตร ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย เมื่อมีชีวิตอยู่มีสีครีมหรือสีชมพูทึบ ช่องปากของพยาธิ มีทั้ง เป็นแผ่นฟันและเป็นเขี้ยวแหลมใช้เกาะผนังสำไส้ดูดกินเลือด พยาธิแก่ที่อาศัยอยู่ในลำไส้ผสมพันธุ์กันออกไข่ปนออกมาในอุจจาระของผู้ป่วย ตกลงบนพื้นดินที่มีสภาพเหมาะสมจะฟักตัวออกเป็นตัวอ่อนระยะที่ 1, 2 และระยะติดต่อที่ 3 รอเวลาที่จะไชผ่านผิวหนังเข้าสู่กระแสโลหิตไปที่ปอด และไชออกมาที่ถุงลมปอด ไต่ขึ้นมาที่หลอดลม คอหอย หลอดอาหารแล้วถูกกลืนลงไปเมื่อถึงลำไส้เล็กจะเจริญเป็นพยาธิตัวแก่ นอกจากนั้นยังสามารถติดต่อทางอื่นได้อีก เช่น จากการไช , การกิน , ผ่านทางน้ำนม หรือผ่านทางรก
การติดต่อ
พยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อไชเข้าผิวหนัง เช่น ง่ามเท้า เจริญเป็นตัวแก่ในลำไส้เล็กถ้ามีพยาธิจำนวนมากอาจพบพยาธิในกระเพาะอาหารหรือในลำไล้ใหญ่ได้
อาการและอาการแสดง
พยาธิตัวอ่อนไชเข้าผิวหนัง เช่น ที่ง่ามเท้า ทำให้เกิดอาการคัน มีผื่นแดง และอักเสบเป็นตุ่มแดง ซึ่งอาการดังกล่าวมักจะหายเองในเวลาไม่นาน แต่รอยแดงซึ่งเป็นการเดินทางของพยาธิโดยเฉพาะการติดเชื้อพยาธิปากขอของสัตว์ อาจอยู่ได้นานถึง 2 สัปดาห์ เมื่อตัวอ่อนผ่านเข้ากระแสโลหิตไปถึงปอด อาจทำให้เกิดอาการอักเสบของปอดหรือหลอดลม ร่วมกับการมีไข้และไอเล็กน้อย อาการดังกล่าวจะหายไปหลังจากพยาธิเดินทางเข้าสู่ลำไส้ พยาธิตัวเต็มวัยใช้ปากกัดเพื่อเกาะติดกับผนังลำไส้และดูดเลือดจากโฮสต์ ทำให้เกิดการฉีกขาดของเยื่อบุผนังลำไส้และเกิดแผลเนื่องจากพยาธิมีการเปลี่ยนตำแหน่งการเกาะอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยจึงสูญเสียเลือดจากการที่พยาธิดูดเลือดเพื่อกินเป็นอาหาร และการไหลรินของเลือดจากแผลเกิดขึ้นเมื่อพยาธิเปลี่ยนตำแหน่งเกาะ นอกจากนั้นทำให้เกิดการรบกวนในระบบทางเดินอาหาร ผู้ป่วยจึงรู้สึกปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ที่สำคัญคือพยาธิทำให้ผู้ป่วยเกิดโรคโลหิตจางแบบขาดธาตุเหล็ก (iron deficiency anemia) นอกจากนั้นยังทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลงในผู้ใหญ่ ส่วนในเด็กเล็กจะทำให้มีการพัฒนาการเรียนรู้ และการเจริญเติบโตที่ช้าลง
รูปพยาธิปากขอในลำไส้
วงจรชีวิตของพยาธิ
พยาธิปากขอตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็กโดยกัดติดกับเยื่อบุผนังลำไส้ ดูดเลือดและน้ำเลี้ยงจากลำไส้ พยาธิตัวเมียจะออกไข่วันละ 6000-20000 ฟอง ไข่จะออกมากับอุจาระ ถ้าอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ ตัวอ่อนจะออกจากไข่ใน 1-2 วัน เป็นตัวอ่อนระยะที่หนึ่งเรียกว่า rhabditiform larvae เจริญในดินหรืออุจาระ ตัวอ่อนจะลอกคราบเป็นตัวอ่อนระยะที่สองมีลักษณะเหมือนตัวอ่อนระยะที่หนึ่งแต่ตัวใหญ่กว่าโดยใช้เวลา5-10 วัน และจะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะที่สามเรียก filariform ในระยะเวลา 5-10 วัน ระยะนี้เป็นระยะติดต่อ ซึ่งสามารถไชทะลุผ่านผิวหนังเข้าสู่ร่างกายคนได้ เข้าสู่หลอดเลือดดำ ไปหัวใจ เข้าปอด ไชออกจากปอดเข้าคอยหอย หลอดอาหาร แล้วสู่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ในลำไส้เล็ก ตัวแก่ส่วนใหญ่จะถูกขับออกใน 1-2 ปีแต่อาจจะอยู่ได้หลายปี
การวินิจฉัย
ตรวจอุจาระพบไข่และพยาธิในอุจาระ ควรจะตรวจอุจาระใหม่ หากเกิน 24 ชั่วโมงไข่จะกลายเป็นตัวอ่อน
ไข่พยาธิจะมีขนาด 50-70 ไมครอนเปลือกบาง ไข่รูปร่างรีๆ
|
ตัวอ่อนระยะrhabditiform larvae
ตัวแก่ของพยาธิ
การรักษา
การรักษาทั่วไป ถ้าผู้ป่วยซีดควรจะให้เลือดหรือธาตุเหล็กยาฆ่าพยาธิชื่อ Pyrantel pamoate( 125 มก./เม็ด) ขนาด 10-20 มก./กก ให้วันละครั้ง 2 วัน Mebendazole(100 มก)ให้ 1 เม็ดเช้า-เย็นเป็นเวลา 3 วัน
การป้องกัน
1.กำจัดอุจาระให้ถูกต้อง
2.ไม่เดินเท้าเปล่า
3.ให้ยาถ่ายพยาธิ
เป็นโรคพยาธิตัวกลมเกิดจากเชื้อพยาธิชื่อ Enterobius vermicularis หรือที่เรียกว่าพยาธิเส้นด้าย โรคนี้ติดต่อง่าย มักจะพบเป็นทั้งครอบครัวหรือที่ที่คนอยู่เป็นหมู่ เช่น โรงเรียน เด็กเป็นมากกว่าผู้ใหญ่
ลักษณะทั่วไป
โรคพยาธิเข็มหมุดคือ โรคที่เกิดจากพยาธิตัวกลมที่มีชื่อเรียกว่า เอนเตอร์โรเบียส เวอร์มิคูลาริส (Enterobius vermicularis) หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า พยาธิเข็มหมุด เนื่องจากตัวพยาธิมีลักษณะ กลม สีขาวใส เเละบริเวณหัวจะโป่งพองออก ทำให้มองดูคล้ายหัวเข็มหมุด ตัวผู้มีขนาดยาวประมาณ 2-5 มม. ส่วนตัวเมียจะยาวกว่าคือ ประมาณ 8-13 มม
รูปที่ 1 ตัวแก่พยาธิเข็มหมุดเพศผู้
รูปที่ 2 ตัวแก่พยาธิเข็มหมุดเพศเมีย
ตัวพยาธิอาศัยร่างกาย
ตัวเต็มวัยของพยาธิชนิดนี้อาศัยอยู่ในบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนปลายของคน หลังจากพยาธิตัวผู้เเละตัวเมียผสมพันธุ์กันเเล้วพยาธิตัวเมียจะคลานออกมาวางไข่บริเวณทวารหนัก หรือบริเวณช่องคลอดสตรี โดยมักจะคลานออกมาในเวลากลางคืน
อาการและอาการแสดง
นอกจากอาการคันอย่างรุนเเรงอย่างรุนเเรงเเล้ว เมื่อเกามากขึ้นจะทำให้เกิดรอยถลอก เป็นเเผลติดเชื้อได้ ในเด็กเล็กจะมีอาการหงุดหงิด นอนไม่หลับ เเสบก้น เบื่ออาหาร เเละน้ำหนักลด ในผู้หญิงถ้าพยาธิคลานกลับเข้าไปในช่องคลอด ก็จะทำให้เกิดการอักเสบของมดลูก เเละบริเวณที่พยาธิไชผ่าน ส่วนในผู้ชาย ถ้าพยาธิไชผ่านเข้าไปตามท่อปัสสาวะ เเละต่อมลูกหมากก็จะทำให้เกิดการอักเสบขึ้นได้
ลักษณะทางภูมิศาสตร์
เด็กทารก เด็กเล็ก มักติดโรคพยาธินี้ เพราะยังดูแลตัวเองไม่ได้ ในเรื่องความสะอาด นอกจากนี้โรคนี้ยังมักระบาดในคนที่สัมผัส เเละอยู่คลุกคลีรวมกันเป็นกลุ่ม เช่น ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า สถานรับเลี้ยงเด็ก สถานสงเคราะห์คนชรา เเละคนภายในครอบครัวเดียวกัน
การติดต่อ
คนจะติดโรคนี้ ถ้ากินไข่พยาธิเข้าไป ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม เช่น ถ้าเด็กเกาก้นเเล้ว ไข่อาจติดมากับมือเเละซอกเล็บ เมื่อเด็กเอานิ้วเข้าปากหรือดูดนิ้วก็จะได้รับไข่พยาธิเข้าไป หรือถ้าไข่พยาธิที่ติดมากับเครื่องใช้ของคนที่เป็นโรคพยาธิ เช่นเสื้อผ้า ลูกบิดประตู เมื่อเราเอามือไปสัมผัส เเล้วนำมาเข้าปากก็จะติดโรคได้ นอกจากนี้คนยังติดโรคได้ จากการหายใจ เพราะไข่พยาธิตัวนี้มีน้ำหนักเบา เมื่อสะบัดเสื้อผ้า ผ้าห่ม หรือผ้าปูที่นอน จะทำให้ไข่ฟุ้งกระจายปลิวไปในอากาศ เมื่อเราหายใจเอาไข่เข้าไปก็จะติดโรคได้
วงจรชีวิต
พยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในตอนต้นของลำไส้ใหญ่ กลางคืนพยาธิตัวเมียจะออกมาวางไข่ใกล้ทวารหนักแล้วก็ตาย .ไข่จะติดอยู่บริเวณนั้น หรื เครื่องนุ่งห่ม ไข่จะกลายเป็นระยะติดต่อใน 24-36 ชั่วโมง เมื่อผู้ป่วยเกาก้นไข่ก็จะติดเล็บมือ เมื่อผู้ป่วยรับประทานอาหารโดยใช้มือจับอาหาร ก็กินไข่พยาธิเข้าไป การติดต่อระหว่างคนสู่อีกคนหนึ่งอาจจะเกิดได้ 4 วิธี วิธีที่หนึ่ง พบบ่อยที่สุดคือการติดต่อโดยตรงจากการกินไข่พยาธิที่ติดกับมือหรือติดตามเล็บ วิธีที่สอง ผู้ป่วยกินไข่พยาธิที่ติดตามเครื่องนุ่งห่ม หรือผ้าคลุมที่นอน วิธีที่สาม กินไข่พยาธิที่ปลิวอยู่ในอากาศ วิธีที่สี่ ไข่ฟักเป็นตัวอ่อนที่ทวารแล้ไชกลับในลำไส้ใหญ่ ไข่จะเจริญเป็นตัวอ่อนที่ลำไส้เล็ก และจะเจริญเป็นตัวแก่ที่ลำไส้ใหญ่ . ตั้งแต่ไข่ที่รับประทานเข้าไปจนกระทั่งเป็นตัวแก่ใช้เวลา 1 เดือน อายุโดยเฉลี่ยของตัวแก่ประมาณ 2 เดือน
การวินิจฉัย
ทำได้โดยตรวจหาไข่พยาธิได้ด้วยวิธีสก็อตเทปเทคนิค (Scotch tape technique) โดยใช้ด้านเหนียวของสก็อตเทปไปสัมผัสรอบบริเวณทวารหนัก นำมาปิดลงบนกระจกสไลด์ เเล้วนำมาตรวจหาไข่พยาธิภายใต้กล้องจุลทรรศน์ การเก็บไข่โดยวิธีนี้ควรทำตอนเช้าก่อนอาบน้ำ
การตรวจหาไข่พยาธิโดยวิธี Scotch tape technique
ภาพแรกจากการใช้เทปปิด ส่วนอีกภาพเป็นการดูสดจะเหมือนรูปอักษรD และมีตัวอ่อนอยู่ในไข่
การรักษา
2.ให้ยา pyrantel pamoate 10 มก./กก ให้ยาครั้งเดียว
การป้องกัน
รักษาสุขอนามัย รับประทานอาหารโดยใช้ช้อน ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ซักล้างเสื้อผ้า ตัดเล็บ ทำความสะอาดห้องน้ำให้ยาถ่ายทุกคนที่เป็นโรคนี้
พยาธิไส้เดือน (Ascaris lumbricoides)
ในเขตชนบทหรือในหมู่บ้านชาวเขาทางภาคเหนือมักจะพบเห็นเด็กเล็กที่มีภาวะขาดสารอาหาร มีอาการซีด น้ำหนักลด ผอม พุงโลง เนื่องจากพยาธิไส้เดือนแย่งอาหาร บางรายมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ อาเจียน ทานอาหารไม่ได้เมื่อนำมาส่ง โรงพยาบาลพบพยาธิไส้เดือนอุดตันในลำไส้เป็นจำนวนมาก บางรายที่มีพยาธิจำนวนมากอาจพบพยาธิหลุดออกมาทางจมูก ขณะที่จามหรือไอแรง ๆ ได้
ลักษณะของพยาธิ
พยาธิไส้เดือนอาศัยอยู่ในสำไส้เล็ก มีขนาดลำตัวใหญ่และยาวประมาณ 10-30 ซม มีลำตัวกลมคล้ายไส้เดือนดิน (รูปที่ 1) ตัวเมียสามารถไข่ได้ประมาณวันละ 200,000 ฟอง พยาธิสามารถมีชีวิตอยู่ในร่างกายคนได้ประมาณ 1 ปี ไข่พยาธิจะ ปนออกมากับอุจจาระและฟักตัวอยู่ในดินจนกลายเป็นไข่พยาธิที่สามารถติดต่อไปสู่คนอื่นได้ วงจรชีวิตของพยาธิไส้เดือน ใช้เวลาทั้งหมด 2 เดือน
ตัวแก่พยาธิไส้เดือน
การติดต่อ
เกิดจากคนที่เป็นโรคพยาธิไส้เดือนถ่ายอุจจาระลงดิน ทำให้มีไข่พยาธิปนอยู่ในดิน เด็กเล็กที่ชอบเล่นคลุกคลีกับดิน จะมีไข่พยาธิติดมากับขี้เล็บหรือมือ เมื่อเด็กอมมือหรือกินอาหารโดยไม่ล้างมือให้สะอาดจะทำให้ไข่พยาธิเข้าไปในปากได้ หรือไข่พยาธิปนเปื้อนมากับอาหารหรือน้ำดื่มเนื่องจากคนนำอุจจาระมาทำปุ๋ยรดผัก
อาการของโรค
อาการของโรคพยาธิไส้เดือนแบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือ
1.อาการเกิดจากพยาธิตัวอ่อนกำลังเดินทาง ขณะที่ตัวอ่อนกำลังเดินทางจากลำไส้ไปปอดอาจจะทำให้เกิดไข้ ไอ หายใจแน่ หอบเหนื่อย เสมหะอาจจะมีเลือดปน อาจจะมีพยาธิตัวอ่อนออกมาด้วย บางคนอาจจะเกิดลมพิษอาการเหล่านี้มักจะเกิดภายหลังจากไดรับไข่พยาธิ 4-16 วัน
2.อาการเกิดจากตัวแก่ เนื่องจากพยาธิตัวแก่จะแย่งอาหารเด็กอาจจะขาดอาหาร อาจจะมีลมพิษ หากมีพยาธิเป็นจำนวนมากอาจจะเกาะกันเป็นก้อนทำให้อุดทางเดินลำไส้หรือทางเดินน้ำดีทำให้เกิดอาการดีซ่านปวดท้องเนื่องจากพยาธิอุดลำไส้ เสียดท้อง คลื่นไส้อาเจียน ตับอ่อนอักเสบ เนื่องจากพยาธิไชถุงน้ำดีอักเสบไส้ติ่งอักเสบผู้ป่วยที่เป็นพยาธิไส้เดือนเวลามีไข้มักจะปวดท้องเนื่องจากพยาธิจะดิ้นเพราะมันทนต่อความร้อนไม่ได้
วงจรชีวิต
พยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในลำไส้เล็ก แย่งอาหารที่ย่อยแล้วในลำไส้กิน ตัวแก่มีอายุ 6 เดือนถึง 1 ปี มีสองเพศคือตัวผู้และตัวเมีย ตัวเมียจะวางไข่วันละประมาณ 200,000 ฟอง ไข่จะออกมาพร้อมกับอุจระ ไข่ที่ไม่ได้รับการผสมพันธุ์จะไม่สามารถติดต่อ ไข่ที่ผสมแล้วจะเจริญเป็นตัวอ่อนในเวลา 10-21 วัน เมื่อคนกินในระยะนี้จะเป็นระยะติดต่อ , depending on the environmental conditions (optimum: moist, warm, shaded soil). เมื่อตัวอ่อนถูกกิน , ตัวอ่อนจะไชทะลุผนังลำไส้ , ไปตามหลอดเลือดดำที่ไปเลี้ยงตับ เข้าสู่ปอด . ตัวอ่อนจะเจริญเป็นตัวแก่ในปอดโดยใช้เวลาประมาณ10 ถึง 14 วัน ตัวแก่จะไชผ่านผนังของถุงลม เข้าหลอดลม เข้าคอ และถูกกลืน เชื้อจะเจริญเป็นตัวแก่ ที่ลำไส้เล็ก. ตั้งแต่ได้รับเชื้อจนกระทั่งโตเป็นตัวแก่ใช้เวลา 2-3 เดือน ตัวแก่สามารถมีอายุ 1-2 ปีโรคพยาธิไส้เดือนตัวกลมจะแพร่กระจายในภาคใต้มากกว่าภาคอื่นเนื่องจากเขตภาคใต้มีความชุ่มชื้นตลอดปี อากาศก็ไม่ร้อน โรคมักจะเป็นในเด็กเพราะเด็กมักจะกิน หรือเล่นบนพื้นดิน
การวินิจฉัย
1.ตรวจพบตัวแก่ออกมาในอุจาระหรือในสิ่งที่อาเจียน
2.ตรวจอุจาระพบไข่พยาธิ
ไข่พยาธิ
พยาธิตัวแก่
การรักษา
1.Mebendazole ขนาด 100 มก.รับประทานวันละ 2 ครั้งเป็นเวลา 3 วัน
2.Albendazole ขนาด 400 มก.รับประทานครั้งเดียว หากไม่หาย(ยังตรวจพบไข่พยาธิ)ให้ซ้ำอีกครั้งใน 3 สัปดาห์
การป้องกัน
1.หลีกเลี่ยงการสัมผัสดินเพราะจะทำให้มือสัมผัสกับไข่พยาธิ
2.ให้ถ่ายอุจาระให้ห้องน้ำ ไม่ถ่ายอุจาระลงบนดิน
3.กำจัดผ้าอ้อมอย่างเหมาะสม
4.ล้างมือด้วยสบู่ก่อนรับประทานและเตรียมอาหาร
5.หากไปเที่ยวประเทศที่มีระบบสาธารณะสุขไม่ดีต้องระวังน้ำเดิมและอาหารว่าอาจจะปนเปื้อนไข่พยาธิ
6.ล้างผักและผลไม้ก่อนที่จะนำไปปรุงหรือรับประทานอาหาร
7. Piperazine citrateยานี้เหมาะสำหรับรายที่สงสัยว่าพยาธิจะไปอุดลำไส้หรือท่อน้ำดี เพราะยาจะทำให้กล้ามเนื้อของพยาธิอ่อนแรงขนาดที่ใช้ 305 กรัมวันละ 4 ครั้งเป็นเวลา 2 วัน
พยาธิหอยโข่ง (ANGIOSTRONGYLUS CANTONENSIS )
รูปที่ 1 พยาธิหอยโข่ง
โรคพยาธิหอยโข่ง หรือ โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ (eosinophilic meningoencephalitis) เกิดจากพยาธิตัวกลม Angiostrongylus cantonensis ผู้ป่วยจะมีการอักเสบของสมองและเยื่อหุ้มสมอง ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะอย่างรุนแรงบริเวณหน้าผากและขมับทั้งสองข้าง มีอาการคอและหลังแข็ง ร่วมกับอาการมีไข้ที่เป็นๆ หายๆ คลื่นไส้ อาเจียน มีอาการอัมพาตของแขนขา ความรุนแรงของโรคขึ้นอยู่กับพยาธิสภาพที่เกิดและจำนวนพยาธิที่ผู้ป่วยได้รับเข้าไป ในรายที่ผู้ป่วยมีอาการไม่มากผู้ป่วยจะค่อยๆ ดีขึ้นและหายในที่สุด ในระยะที่รุนแรงผู้ป่วยอาจเสียชีวิตได้ นอกจากระบบประสาทแล้ว อาจเกิดที่อวัยวะอื่นได้อีก เช่น มีรายงานพบว่าพยาธิเดินทางเข้าตาทำให้ผู้ป่วยมีอาการตาพร่า มองเห็นไม่ชัดเจน
มีรายงานพบพยาธินี้มากในแถบเอเชียโดยเฉพาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้มีรายงานการพบที่หมู่เกาะแปซิฟิก มาดากัสการ์ อียิปต์ ออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา เปอร์โตริโก คิวบา สำหรับประเทศไทยได้มีการพบผู้ป่วยมากทางภาคอีสาน ภาคกลาง โดยพบว่าผู้ป่วยมีประวัติกินหอยโข่ง หอยทาก
รูปที่ 2 หอยโข่ง
ลักษณะพยาธิหอยโข่ง
พยาธิตัวเมียมีขนาดใหญ่ลำตัวมีลักษณะลายแดงสลับขาวคล้ายเครื่องหมายร้านตัดผม เกิดจากมดลูก ซึ่งภายในมีไข่บรรจุอยู่มองดูเป็นสีขาวขุ่นพันเป็นเกลียวรอบลำไส้ที่มีเลือดอยู่ พยาธิตัวผู้มีขนาดเล็กพยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในเส้นเลือดแดงใหญ่ในปอดหนูพยาธิตัวเต็มวัยมีรูปร่างเรียว ยาวประมาณ2-3 ซม.ตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าและที่หางจะมีแผ่นบางๆเล็กๆ แผ่ออกมา ตัวผู้มีขนาด 15-19 * 0.26 มม. รูปร่างยาวเรียว ปลายหางมี bursa ขนาดเล็ก
รูปที่ 3 ลักษณะพยาธิตัวเมียและพยาธิตัวผู้ |
การแหล่งระบาด
พยาธิหอยโข่ง พบกระจายอยู่ในประเทศจีน มาเลเซีย ไต้หวัน ญี่ปุ่น อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย คิวบา โดยพบในประเทศไทย และไต้หวันมากกว่าหมู่เกาะแปซิฟิกตอนใต้ ดังเช่นจากรายงานการติดเชื้อพยาธิหอยโข่งที่แน่นอน 35 ราย พบว่าเกิดในประเทศไทย 19 ราย ไต้หวัน 13 ราย ส่วนอินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม พบประเทศละ 1 ราย การที่พบแพร่หลายในเขตอบอุ่น และเขตร้อนชื้นที่มีฝนตกปานกลางถึงชุก เนื่องจากอุดมไปด้วยพืชผักที่เป็นอาหารของหอยที่เป็นโฮสต์กึ่งกลางของพยาธิหอยโข่ง ซึ่งพบได้บริเวณระหว่างเส้นละติจูดที่ 23 องศาเหนือ และเส้นละติจูดที่ 23 องศาใต้
สำหรับประเทศไทย มีรายงานโรคพยาธิหอยโข่งไว้เป็นครั้งแรกในปี 1957 ซึ่งเป็นผู้ป่วยจากโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าจำนวน 4 ราย ต่อมาในปี 1962 มีรายงานพบพยาธิหอยโข่งในตาของผู้ป่วย ซึ่งนับเป็นรายแรกของโลก ในช่วงปี 1963-1979 มีรายงานต่อเนื่องพบว่า พยาธิหอยโข่งทำให้เกิดภาวะสมอง และเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ร่วมกับมีเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิลในน้ำไขสันหลังเพิ่มสูงขึ้น โดยผู้ป่วยเกือบทั้งหมดมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย แหล่งระบาดของโรคพยาธิหอยโข่งพบได้ทุกภาคในประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในกลุ่มประชาชนที่ชอบรับประทานหอยน้จืดดิบๆ สุกๆ
วงจรชีวิต
รูปที่ 4 วงจรชีวิตของพยาธิหอยโข่ง |
เมื่อพยาธิผสมพันธุ์กันตัวเมียออกไข่ ไข่จะถูกพาไปตามกระแสโลหิตเข้าไปติดอยู่ตามเส้นเลือดฝอยของปอดหนู ไข่จะเจริญเติบโตและฟักออกเป็นตัวอ่อนระยะที่ 1 อยู่ภายในปอด หลังจากนั้นตัวอ่อน ไชทะลุผ่านถุงลมปอด ผ่านหลอดลมไปยังคอหอย และถูกกลืนผ่านหลอดอาหารไปยังกระเพาะอาหาร และลำไส้ปนออกมาพร้อมกับอุจจาระของหนูตัวอ่อนระยะที่1 จะถูกกินหรือไชเข้าสู่หอยที่หากินบนบกเช่น หอยโข่ง หอยทากยักษ์แอฟริกัน พยาธิตัวอ่อนจะเจริญเป็นตัวอ่อนระยะที่ 2 และ ตัวอ่อนระยะติดต่อที่ 3 นอกจากพวกหอยแล้วยังมีกุ้ง กบ ตะกวด ฯลฯ ซึ่งเป็นโฮสต์สะสมเชื้อที่มีพยาธิตัวอ่อนระยะติดต่อที่ 3 อยู่ เมื่อหนูกินเข้าไปพยาธิจะไชผนังสำไส้หนูเข้าสู่กระแสโลหิตผ่านตับหัวใจ ปอด สมอง และ ไขสันหลัง เจริญและลอกคราบเป็นตัวอ่อนระยะที่ 4 และ 5 ที่สมองหลังจากนั้นเดินทางเข้าสู่ที่เส้นเลือดแดงใหญ่ในปอดเติบโตเป็นตัวเต็มวัย สำหรับคนเมื่อกินตัวอ่อนระยะติดต่อที่ 3 โดยไม่ปรุงให้สุกเสียก่อนเช่น เอาหอยโข่ง กุ้ง หรือ กบ มาทำยำหรือพล่าตัวอ่อน ระยะติดต่อที่ 3 จะเดินทางไปที่สมองเช่นเดียวกับหนู แต่พยาธิไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ตามปกติ เนื่องจากคนไม่ได้เป็นโฮสต์เฉพาะของพยาธิชนิดนี้ พยาธิมักจะหยุดการเจริญเติบโตที่ตัวอ่อนระยะที่ 4 หรือ 5 ที่สมองทำให้เกิดเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้ในคน
การติดต่อ
1. ติดต่อโดยการรับประทานอาหารดิบๆ สุกๆ ที่ทำมาจากสัตว์พาหะที่มีพยาธิระยะติดต่อ เช่น หอยน้ำจืด หอยบก หอยทาก กุ้ง และปูน้ำจืด หรือตะกวด ในหอยน้ำจืดทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะหอยโข่งจะมีพยาธิหอยโข่ง ชาวอีสานนิยมนำหอยน้ำจืดมาสับ แล้วยำใส่พริก บีบมะนาว ก็จะรับพยาธิหอยโข่งเข้าไป พยาธิตัวนี้หากชอนไชไปที่สมอง จะทำให้สมองอักเสบ และมีอัตราการตายสูงมาก การติดต่อที่สำคัญจึงเกิดจากการกินอาหารที่ไม่ปรุงให้สุก เช่น การกิน ยำ ลาบ ก้อย พล่าที่ทำจากหอย ปู กุ้ง เป็นต้น
2. พยาธิอาจปนเปื้อนมากับน้ำดื่ม ผัก และผลไม้สด ผักที่ขึ้นอยู่ตามแหล่งพื้นดิน หรือแหล่งน้ำธรรมชาติ หากอยู่ในเส้นทางที่หอยโข่งเดินผ่าน พยาธิจากหอยอาจไต่ขึ้นมาที่ยอดผัก เช่น ยอดผักบุ้ง ถ้าเก็บผักมากินสดๆ โดยไม่ล้างให้สะอาด ก็จะได้รับพยาธิเข้าไปเหมือนกัน
3. โฮสต์เฉพาะในทางธรรมชาติ คือสัตว์ฟันแทะ เช่น หนูบ้าน และหนูป่า โดยพยาธิตัวแก่อาศัยอยู่ในปอดหนู และแพร่ตัวอ่อนออกมาในมูลหนู ตัวอ่อนของพยาธิจะไชเข้าไปอยู่ในหอย หรือหอยกินมูลหนูที่มีตัวอ่อน เมื่อคนกินหอยดิบๆ ตัวพยาธิจะไปเจริญเติบโตในสมองก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะ มีคนเสียชีวิตจากพยาธิหอยโข่งขึ้นสมองปีละประมาณ 56 ราย พบคนในภาคอีสานมีพยาธิหอยโข่งในร่างกายกว่า 1,000 คน
4.โฮสต์กึ่งกลางในธรรมชาติ คือ หอยบก ได้แก่ หอยทากยักษ์อัฟริกัน หอยน้ำจืด ได้แก่ หอยโข่ง หอยปัง หอยเชอรี่ หอยขม ทาก โฮสต์พาราทีนิกที่สำคัญได้แก่ ตะกวด กุ้งน้ำจืด ปูขน กบ คางคก และลูกอ๊อด
รูปที่ 5 พยาธิไชเข้าตา
อาการแสดง
หลังจากรับประทานอาหารที่มีพยาธิระยะติดต่อเข้าไป 1-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน มักจะมีอาการปวดศีรษะอย่างเฉียบพลันบริเวณขมับ หน้าผาก และท้ายทอย ปวดอยู่ตลอดเวลา และปวดมากในตอนกลางคืน ในรายที่มีอาการรุนแรงจะปวดศีรษะมาก คอแข็ง หลังแข็ง ชัก อาจเป็นอัมพาต ซึม หมดสติ หรือเสียชีวิตได้ ถ้าพยาธิไชเข้าตา ตาอาจจะอักเสบ มัว และบอดได้
การวินิจฉัย
ยังไม่มีวิธีใดที่จะบอกได้แน่นอน นอกจากจะพบตัวพยาธิตัวอ่อนระยะที่ 5 ซึ่งมีรายงานน้อยมากที่พบปนออกมาจากน้ำไขสันหลังที่เจาะจากผู้ป่วย เนื่องจากตัวเล็กและมีสีขาวใส อาจพบน้ำไขสันหลังขุ่นแต่ไม่เป็นหนอง พบเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอสิโนฟิลสูงในน้ำไขสันหลัง , การตรวจหาแอนติบอดีในเลือดและน้ำไขสันหลังด้วยวิธี ELISA พบว่าเป็นวิธีที่ได้ผลดี และนิยมทำมากที่สุดในการวินิจฉัยโรค
การรักษา
โรคนี้หายได้เองภายใน 4-6 สัปดาห์ โดยการรักษาส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาตามอาการ และความรุนแรงของโรค เช่น ให้ยาแก้ปวดเพื่อลดอาการของผู้ป่วย ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดศีรษะรุนแรง การเจาะน้ำไขสันหลังเป็นระยะๆ เพื่อลดความดันของน้ำไขสันหลังจะช่วยลดอาการปวดศีรษะรุนแรงได้ ในผู้ป่วยที่มีพยาธิในลูกตา ควรทำการผ่าตัดเพื่อเอาพยาธิออกทันที มีรายงานการใช้ยาฆ่าพยาธิสำหรับรักษาโรคนี้ เช่น Thiabendazole หรือ Mebendazole แต่ประสิทธิภาพการรักษายังประเมินไม่ได้ในปัจจุบัน บางท่านเชื่อว่าการให้ยาฆ่าพยาธิทำให้พยาธิตายก่อให้เกิดอาการอักเสบที่รุนแรงในระบบประสาทตามมาได้
การป้องกัน
รับประทานอาหารที่สุกและสะอาด โดยเฉพาะอาหารที่ประกอบจากเนื้อสัตว์ เช่น หอย ,กบ , ตะกวด , งู ฯลฯ ล้างผักสดให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารเนื่องจากอาจมีการปนเปื้อนของตัวอ่อนระยะติดต่อที่ 3 ทำลายหนูที่เป็นโฮสต์เฉพาะตามธรรมชาติ ให้สุขศึกษาประชาสัมพันธ์ถึงการติดต่อและการป้องกันไม่ให้เกิดโรคพยาธิ
|
อ้างอิง
http://www.healthcarethai.com/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%9E%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%98%E0%B8%B4%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%89%E0%B8%B2-trichuriasis/พยาธิแส้ม้าhttp://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/trichuris.htm#.Vl_X1tLhDIUriพยาธิแส้ม้าhttp://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/HOOKWORM.htm#.Vl_ZRdLhDIU
(ที่มา: http://www.med.cmu.ac.th/dept/parasite/nematode/framene.htm-Enterobius vermicularis)เข็มหมุดhttp://www.siamhealth.net/public_html/Disease/infectious/parasite/ascaris.htm#.Vl_n89LhDIUพยาธิไส้เดือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น