วันศุกร์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ไวรัส

Virus
Human papilloma virus (HPV)

เป็นไวรัสที่ก่อให้เกิดหูด ชนิดต่างๆ มีสายพันธ์มากกว่า 100 ชนิด แต่ละสายพันธ์จะก่อให้เกิดโรคได้ต่างชนิดกัน กว่า 40 ชนิดที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์และทวารหนัก ที่เกิดขึ้นได้ทั้งในผู้ชายและผู้หญิง ที่รู้จักกันกันดี คือ หูดหงอนไก่ บางกลุ่มของการติดเชื้อ HPV ที่อวัยวะสืบพันธ์และทวารหนัก ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่บริเวณปากมดลูก และสามารถนำไปสู่การเกิดมะเร็งที่ปากมดลูก การติดเชื้อหูดหงอนไก่และ HPV มักจะเกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และการเปลี่ยนคู่นอนบ่อยก็เป็นความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการติดเชื้อเพิ่มขึ้นด้วย
สายพันธ์ที่เกิดการติดเชื้อบริเวณอวัยวะสืบพันธ์และทวารหนักที่รู้จักกันดีคือ สายพันธ์ เบอร์ 6,11,16 และ 18 สายพันธ์ เบอร์ 6 และ 11 เป็นสายพันธ์ที่ไม่รุนแรงก่อให้เกิดมะเร็งได้ต่ำ (Low-risk) แต่ถ้าเป็นสายพันธ์เบอร์ 16 และ 18 นั้นเป็นสายพันธ์ที่รุนแรงที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้สูง (High-risk)


การติดเชื้อ HPV
มักจะเกิดจากการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ (Sexually transmitted disease, STD) ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าอย่างน้อย 75% ของวัยเจริญพันธ์มีการติดเชื้อ HPV ไม่ช่วงใดก็ช่วงหนึ่ง ซึ่งเชื่อว่ามากกว่า 6 ล้านคนมีการติดเชื้อทุกๆ ปี และ ประมาณ 50% ของการติดเชื้อนั้นผู้ติดเชื้อมีอายุระหว่าง 15 25 ปี   ไม่ว่าจะติดเชื้อ HPV สายพันธ์ ใดก็ตาม ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมองไม่เห็นหรือไม่มีอาการแสดง ดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าติดเชื้อ HPV หรือไม่สามารถบ่งบอกได้จากการตรวจ DNA บางรายที่มีการตรวจพบว่าติดเชื้อ คือผลตรวจเป็นบวก และระยะต่อมาเมื่อผ่านไปเป็นเดือนหรือปี ผลตรวจเปลี่ยนเป็นลบ ที่เรียกว่าเป็นระยะเงียบ (latent period)คือมีการติดเชื้อแต่ไม่แสดงอาการ ซึ่งผู้ป่วยสามารถติดเชื้อซ้ำได้ ผู้ที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้จากการมีเพศสัมพันธ์
ในประเทศสหรัฐอเมริกาหรือในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีการตรวจกันแพร่หลายทำให้สามารถตรวจหาเชื้อและได้รับการรักษาเบื้องต้น เป็นการลดความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งปากมดลูกได้ ส่วนในประเทศที่กำลังพัฒนาการตรวจหาในระยะเริ่มแรกมีน้อยเกิดจากปัญหาทางเศรษฐกิจ จึงทำให้การเกิดมะเร็งปากมดลูกที่มาจากการติดเชื้อ HPV จำนวนมาก ซึ่งมีผู้หญิงราวๆ 500,000 คนในแต่ละปีทั่วโลกเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก



อาการสำคัญ  
ในหลายๆ คนการติดเชื้อนั้นไม่ก่อให้เกิดอาการแสดง แต่บางครั้งอาจมีอาการคัน แสบร้อน หรือตึง ซึ่งแตกต่างกันตามที่ๆ เกิด สำหรับผู้หญิงที่มีการติดเชื้อภายในช่องคลอดบางครั้งจะมีเลือดออกขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือ มีสารคัดหลั่งออกทางช่องคลอด น้อยรายที่จะมีเลือดออกทางช่องคลอดหรือมีการอุดตันของท่อทางเดินปัสสาวะ โดยหูดได้ปิดกั้นท่อทางเดินปัสสาวะ

การวินิจฉัยการติดเชื้อ HPV         
                                                                                
เชื้อ HPV บางครั้งสามารถตรวจพบได้จากการตรวจ PapSmearเนื่องจากเชื้อ HPV สามารถก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเนื้อเยื่อ แต่การตรวจPap Smear นั้นไม่สามารถที่จะวินิจฉัยโรคได้แน่นอนยกเว้นการตรวจชนิดพิเศษคือการตรวจ DNA ของ HPV เมื่อใดที่ตรวจพบผลผิดปกติของ Pap Smear แพทย์มักจะให้มีการตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การตัดชิ้นเนื้อที่ปากมดลูกไปตรวจ เป็นต้น


การวินิจฉัย      
โรคหูด(หรือหงอนไก่) ที่บริเวณอวัยวะสืบพันธ์เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้ง่ายพบผู้ติดเชื้อใหม่ในสหรัฐอเมริกา ประมาณ 500,000 ราย ต่อปี ซึ่งแพทย์สามารถตรวจพบและรักษาได้โดยไม่ต้องทำการตรวจเพิ่มเติมในกรณีที่มองเห็นได้ชัดเจน ซึ่งลักษณะของหูดมักจะปรากฎให้เห็นในลักษณะตุ่มเล็กๆ ขรุขระ มีลักษณะคล้ายดอกกะหล่ำ มากกว่า 90% ที่หูดบริเวณอวัยวะสืบพันธ์เกิดจากสายพันธ์ HPV 6 และ HPV 11 ซึ่งเป็นสายพันธ์ที่ไม่รุนแรง

การรักษา HPV   
ไม่มีการรักษาใดที่จะสามารถกำจัด การติดเชื้อ HPV ได้หมดสิ้น เพียงแต่ที่ทำได้คือการตัดส่วนที่เกิดการติดเชื้อไวรัสออกไป แต่การตัดชิ้นเนื้อออกไปนั้นไม่สามารถที่จะป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อไวรัสได้ อย่างไรก็ตามโรคนี้สามารถกลับเป็นซ้ำได้อีก
การรักษาที่สามารถทำได้โดยที่ผู้ป่วยใช้น้ำยาหรือครีม 0.5%podofilox (Condylox) ทาบริเวณที่เป็นวันละ 2 ครั้ง 3-4 วัน การรักษาส่วนใหญ่จำเป็นต้องรักษาต่อเนื่อง 34- สัปดาห์ หรือจนกระทั่งหาย podofiloxสามารถใช้ทาวันเว้นวันต่อเนื่องเป็นเวลา 3 สัปดาห์ หรือบางครั้งอาจใช้imiquimod (Aldara) ทาบริเวณที่เป็น3 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยทาในช่วงก่อนนอน หลังจากนั้น 6-10 ชั่วโมง ล้างออกด้วยสบู่และน้ำสะอาด การใช้imiquimod สามารถใช้ได้ต่อเนื่องนาน 16 สัปดาห์หรือจนกระทั่งหาย
สำหรับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญสามารถทำการรักษาโดยใช้ น้ำยาPodophyllin resin ที่มีความเข้มข้น 10-25% จี้บริเวณที่เป็น และล้างออกหลังจากนั้นประมาณ 2-3ชั่วโมง และจะทำการรักษาซ้ำอีกทุกสัปดาห์จนกระทั่งหาย อีกวิธีหรือ การใช้ น้ำยา Tricholoroacetic acid (TCA) หรือBichloracetic acid (BCA) จี้ทุกสัปดาห์ หรือการฉีด 5-Flurouracil epinephrine gel บริเวณที่เป็น หรือสามารถใช้ Interferon alpha ฉีดบริเวณที่เป็นระยะเวลา 8-12 สัปดาห์
การรักษาอีกวิธีคือการทำ Cryotherapy (การจี้ด้วยความเย็นจัด) ทุกๆ 1-2 สัปดาห์ การตัดหูด หรือ การใช้เลเซอร์ ซึ่งการตัดหรือการใช้เลเซอร์นั้นจำเป็นต้องได้รับการใช้ยาระงับความรู้สึก ซึ่งขึ้นอยู่กับบริเวณที่เป็น

โรคไวรัสตับอักเสบ บี Hepatitis B
            โรคตับอักเสบ บี เป็นการอักเสบของตับซึ่งเกิดจากไวรัสตับอักเสบ บีโดยเชื้อไวรัสจะบุกรุกเข้าสู่เซลล์ตับและก่อให้เกิดการอักเสบขึ้น ในบางกรณีเชื้ออาจจะอยู่นิ่งเป็นปีๆ โดยผู้ที่มีเชื้อไม่ทราบว่าตนเองมีเชื้ออยู่ในร่างกาย เชื้อนี้สามารถแบ่งตัวได้อย่างรวดเร็วในเซลล์ตับซึ่งส่งผลก่อให้เกิดการอักเสบและทำลายตับ
การติดต่อ




            เชื้อไวรัสตับอักเสบ บี สามารถติดต่อทาง เลือด น้ำเชื้อ และน้ำหลั่งอย่างอื่น เช่น น้ำเหลือง ท่านสามารถรับเชื้อได้โดยวิธี
            1.มีเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อโดยไม่ได้สวมถุงยาง การจูบกันจะไม่ติดต่อถ้าปากไม่มีแผล
            2.ใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน
            3.ใช้เข็มสักตามตัวหรือสีที่ใช้สักตามตัวร่วมกัน และการเจาะหู
            4.ใช้แปรงสีฟันร่วมกัน มีดโกน ที่ตัดเล็บ
            5.แม่ที่มีเชื้อสามารถติดต่อไปยังลูกได้ขณะคลอด ถ้าแม่มีเชื้อลูกมีโอกาสได้รับเชื้อ 90 %และให้นมตัวเอง
            6.ถูกเข็มตำจากการทำงาน
            7.รักร่วมเพศกับผู้ที่มีเชื้ออยู่
            8.โดยการสัมผัสกับ เลือด น้ำเลือด น้ำคัดหลั่ง โยผ่านเข้าทางบาดแผล
อาการ
            อาการจะเกิดหลังได้รับเชื้อประมาณ 45-90 วัน บางรายอาจจะนานถึง 180 วันผู้ป่วยที่เป็นแบบเฉียบพลันจะมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดตามตัวมีไข้ แน่นท้อง ถ่ายเหลวเป็นอยู่ 4-15 วันหลังจากนั้นจะมี ตัวเหลืองตาเหลือง ปัสสาวะสีเข็ม อาการตัวเหลืองตาเหลืองจะหายไปภายใน 1-4 สัปดาห์บางรายอาจเป็นนานถึง 6 สัปดาห์ จึงสามารถทำงานได้ปกติ
การวินิจฉัย
1.เจาะเลือดตรวจค่าการทำงานของตับ (liver function test)
2.เจาะเลือดตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
            2.1 HBsAg (แอนติเจนไวรัสตับอักเสบบี): ให้ผลบวก แปลว่า ผู้ป่วยกำลังมีเชื้อไวรัสตับอักเสบบี
            2.2 Anti-HBS (ภูมิคุ้มกันต่อ HBsAg): ให้ผลบวก แปลว่า ผู้ป่วยมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสตับอักเสบบี             ภูมิคุ้มกันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อผู้ป่วยได้รับการฉีดวัคซีนหรือเคยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบและหายจาก           โรคแล้ว ดังนั้น ผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันจึงไม่แพร่เชื้อให้ผู้อื่น และไม่ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีอีก
           
2.3การวินิจฉัยว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง ต้องเจาะเลือดตรวจซ้ำอีกครั้งที่ 6 เดือนหลังจาก        วินิจฉัย            ว่าเป็นไวรัสตับอักเสบบีแบบเฉียบพลัน หากพบว่าร่างกายไม่สามารถกำจัดเชื้อไวรัสตับ     อักเสบบี และไม่สามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ จึงจะวินิจฉัยว่าเป็น โรคไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรัง
3.การตัดชิ้นเนื้อจากตับไปตรวจ แพทย์จะใช้เข็มแทงผ่านผิวหนังเพื่อเก็บชิ้นเนื้อจากตับ การตรวจนี้ไม่ได้ทำในผู้ป่วยทุกราย ทำเฉพาะในผู้ป่วยตับอักเสบเรื้อรังที่ต้องการติดตามการดำเนินไปของโรค เช่น ต้องการทราบภาวะพังผืดในตับและการอักเสบของเซลล์ตับ ซึ่งจะมีผลในการเริ่มต้นการรักษา หรือสงสัยมะเร็งตับ เป็นต้น
การรักษา
1.ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีที่สมควรได้รับการรักษา ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีลักษณะดังนี้
            1.1 HBsAg ให้ผลบวกเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
            1.2 มีหลักฐานที่บ่งชี้ว่าไวรัสกำลังมีการแบ่งตัวอย่างมาก คือ
                        1.1.1 HBeAg เป็นบวก ปริมาณไวรัสมากกว่าหรือเท่ากับ 20,000 IU/ml
                        1.1.2 HBeAg เป็นลบ ปริมาณไวรัสมากกว่าหรือเท่ากับ 2,000 IU/ml
            1.3 ระดับ ALT มากกว่าหรือเท่ากับ 1.5 เท่าของค่าปกติอย่างน้อย 2 ครั้ง ห่างกันไม่น้อย       กว่า 3 เดือน (ยกเว้นในกรณีที่ผู้ป่วยมีหลักฐานว่ามีตับแข็งหรือภาวะตับวาย พิจารณาให้  การรักษาถึงแม้จะมี ALT ปกติ ไม่จำเป็นต้องรอห่างกันเกิน 3 เดือน)
            1.4 ต้องไม่มีโรคอื่นที่เป็นสาเหตุหลักของตับอักเสบ
 2. ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังที่มี HBeAg เป็นบวกหรือเป็นลบ สามารถเลือกใช้ยาได้ทุกขนาน ขึ้นอยู่กับปัจจัยของไวรัสบี ปัจจัยทางผู้ป่วย และระยะของโรค แพทย์จะเป็นผู้อธิบายให้ผู้ป่วยทราบถึงประโยชน์และข้อจำกัดของยาแต่ละชนิดเพื่อให้ผู้ป่วยมีโอกาสร่วมในการตัดสินใจเลือกชนิดการรักษา โดยยาที่ใช้รักษาไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังในปัจจุบันมีทั้งชนิดฉีดและชนิดรับประทาน
 3.สำหรับผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังที่ยังไม่มีข้อบ่งชี้ในการรักษา หรืออยู่ในช่วงที่ไวรัสไม่มีการแบ่งตัว ยังไม่จำเป็นต้องได้รับยาต้านไวรัส แต่ควรได้รับการติดตาม ALT เป็นระยะๆ ทุกๆ 3-6 เดือน ก่อนที่ผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบีเรื้อรังจะได้รับการรักษา ควรได้รับการประเมินและแนะนำอย่างละเอียด ซึ่งรวมถึงภาวะของโรค โรคร่วม ข้อจำกัด หรือข้อห้ามในการใช้ยา การปฏิบัติตัว ค่าใช้จ่ายในการรักษา และการติดตามระยะยาว
การป้องกัน
1.            ฉีดวัคซีนป้องกัน โดยผู้ที่ควรฉีดวัคซีนมากที่สุดคือ เด็กแรกเกิด สำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่โดยทั่วไปมีความจำเป็นน้อยในการฉีดวัคซีน เนื่องจากส่วนใหญ่มีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อแล้ว หากต้องการฉีดวัคซีนควรได้รับการตรวจเลือด ผู้ที่เคยติดเชื้อมาแล้วหรือมีภูมิต้านทานแล้วไม่ต้องฉีดวัคซีน
2.            ผู้ที่อยู่ในครอบครัวที่เป็นพาหะ ควรตรวจเลือดเพื่อทราบถึงภาวะของการติดเชื้อก่อนการฉีดวัคซีน การฉีดวัคซีนต้องฉีดให้ครบชุดจำนวน 3 เข็ม หลังจากนั้นวัคซีนจะกระตุ้นให้เกิดภูมิต้านทานขึ้นในร่างกาย


โรคหัดเยอรมัน Rubella

            เป็นโรคติดเชื้อไวรัส ซึ่งทำให้เกิดลักษณะทางคลินิกที่สำคัญคือ ไข้ ผื่นที่ผิวหนัง และต่อมน้ำเหลืองแถวคอโต ถ้าเป็นในเด็กอาการไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็นในหญิง มีครรภ์อ่อน จะทำให้เด็กที่เกิดมามีโอกาสพิการ
สาเหตุ
            เกิดจากเชื้อไวรัส RNA จัดอยู่ในกลุ่ม Paramyxovirus
การติดต่อ

            ติดต่อจากคนหนึ่งไปอีกคนหนึ่งโดยการหายใจเอาเสมหะ หรือน้ำลายของผู้ป่วยซึ่งจามหรือไอออกมา ระยะติดต่อ 1 อาทิตย์ก่อนและหลังออกผื่น 
อาการ




1.            ระยะฟักตัว หลังจากได้รับเชื้อ (หลังสัมผัสกับผู้ป่วย ) 14-24 วัน
2.            ร้อยละ 25-50 อาจจะไม่มีอาการหรืออาการน้อย อาการนำในเด็กไม่ค่อยมีอาการอะไร ก่อนออกผื่นโดยมีอาการอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เยื่อบุตาอักเสบจะมีไข้ 1-5วัน น้ำมูกไหล ไอเล็กน้อย
3.            ระยะออกผื่น โดยเริ่มที่หน้าผากแถบไรผม กระจายมายังรอบปาก และใบหู แล้วลามลงมาที่คอ ลำตัว แขนขา ขณะที่ผื่นกระจายมาลำตัว ใบหน้าจะไม่ค่อยมีผื่น ผื่นอาจจะมีอาการคันหรือไม่ก็ได้ ผื่นมีลักษณะสีชมพูอ่อน แบนราบ และมักอยู่แยกจากกัน ผื่นเป็น 3 วันจะเริ่มจาง มีต่อมน้ำเหลืองหูโต คลำได้เป็นก้อน บางรายอาจมีปวดข้อ ถ้าหากเป็นในคนท้องระยะ 3 เดือนแรก เด็กที่เกิดมาอาจมีพิการแต่กำเนิ เช่น ปัญญาอ่อน หัวใจผิดปกติ ตาผิดปกติ
การวินิจฉัยโรค
            เนื่องจากโรคนี้หากเด็กปรกติจะมีอาการไม่มากการวินิจฉัยทำได้จากอาการ และการตรวจร่างกายเท่านั้น หากคนตั้งครรภ์จะต้องเจาะเลือดเพื่อยืนยันการวินิจฉัย
การป้องกัน
            ป้องกันโดยการฉีดวัคซีน MMR(หัด หัดเยอรมัน คางทูม ) ยังไม่มีรายงานว่าได้รับวัคซีนขณะตั้งครรภ์แล้วจะทำให้เกิดพิการแต่กำเนิด แต่แนะนำให้คุมกำเนิดหลังฉีดวัคซีน
การรักษา
            โรคนี้หายได้เอง ให้วัดไข้วันละ 2 ครั้ง ควรพบแพทย์ถ้าไข้มากกว่า 38  ห้ามใช้ aspirin ในการลดไข้เนื่องจากอาจจะทำให้เกิด Reye's syndromeโรคแทรกซ้อนที่สำคัญ อาจพบสมองอักเสบ เกล็ดเลือดต่ำ ถ้าเกิดกับหญิงมีครรภ์ อาจทำให้ทารกเกิดมาพิการ เช่น ตาพิการ ต้อกระจก ต้อหิน หัวใจพิการ หูหนวก สมองเสื่อม

ภาวะแทรกซ้อน
            1.ข้ออักเสบ เป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบบ่อยที่สุด มักเป็นข้อเล็กๆ เช่นข้อนิ้ว
            2.ภาวะแทรกซ้อนในระบบประสาทกลาง พบไม่บ่อย ที่พบคือสมองอักเสบ
ทารกที่เกิดจากแม่ที่ป่วยด้วยโรคหัดเยอรมัน ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อโรคหัดเยอรมันอาจจะมีความพิการตามมาโดยเฉพาะการตั้งครรภ์ในระยะ 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์ ความพิการได้แก่
-                   หูหนวก อาจจะเกิดข้างเดียวหรือสองข้าง อาการจะปรากฏประมาณอายุ 2 ปี
-                   ต้อกระจกมักจะเป็นกับตาทั้งสองข้าง
-                   ความผิดปกติของหัวใจ
การป้องกัน
            1.โรคนี้สามารถป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีน MMRโดยฉีดครั้งแรกตอนอายุ 9-15 เดือน ครั้งที่ 2 เมื่ออายุ 4-6 ปี
            2.ผู้หญิงที่จะแต่งงาน หรือตั้งใจจะมีลูก ถ้ายังไม่เคยฉีดวัคซีน ต้องฉีดวัคซีนก่อนตั้งครรภ์อย่างน้อย 28 วัน ระวังนี้ให้คุมกำเนิด
            3.สำหรับหญิงคู่และไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน ควรคุมกำเนิดไว้ก่อนจนพ้นการระบาดของโรค
            4.ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัดเยอรมันควรหยุดเรียน หยุดทำงาน พักผ่อนอยู่กับบ้านเป็นเวลาประมาณ 7 วันหลังจากมีผื่นขึ้นเพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
            5.เด็กทารกที่คลอดออกมาและได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นหัดเยอรมันแต่กำเนิด ควรหลีกเลี่ยงการพาไปที่สาธารณะเป็นเวลา 1 ปี เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ เพราะเด็กเหล่านี้ยังมีเชื้อไวรัสอยู่ในตัว
            6.ผู้ที่เคยติดเชื้อหัดเยอรมัน หรือได้รับการฉีดวัคซีนมาแล้วจะมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต แต่มีความเป็นไปได้ที่การได้รับเชื้ออีก จะทำให้ติดเชื้อได้ เพียงแต่จะไม่แสดงอาการ



อ้างอิง
http://www.vibhavadi.com/health119.htmlไวรัส
http://www.siamhealth.net/public_html/Disease/GI/hepatitis/hepatitis_b.htm#.VmFyTNKLTIV
https://www.bumrungrad.com/th/digestive-diseases/hepatitis-b
http://www.siamhealth.net/public_html/Health/Photo_teaching/herpes_zoster.htm#.VmF3wdKLTIU
http://www.siamhealth.net/public_html/Health/Photo_teaching/rubella.htm#.VmF5sNKLTIU

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น