โรค Giardiasis
Giardiasis หรือ Lambiasis คือ โรคที่เกิดในผู้ที่ติดเชื้อปรสิตชนิด Giardia lamblia ผู้ติดเชื้อหลายรายไม่แสดงอาการเนื่องมาจากภูมิคุ้มกันที่ดี แต่ผู้ติดเชื้อบางรายที่มีความไวต่อเชื้อมากกว่าผู้อื่น อาจเกิดอาการท้องเสียทำให้เกิดอาการขาดน้ำ และสำไส้มีการผลิตเมือกออกมามาก มีอาการปวดท้อง ผายลมบ่อย และนำหนักลด อุจารระมีไขมันมากแต่ไม่เลือด เนื่องปรสิตจะไปรบกวนการดูดซึมไขมันและสารอาหารของลำไส้ ซึ่งเป็นการเริ่มต้นของโรค ถ้าถุงน้ำดีมีการติดเชื้อจะทำให้เกิดอาการตัวเหลืองตาเหลืองและปวดท้อง มีรายงานว่า G. lamblia ทำให้เกิดโรคลำไส้อักเสบ โรคนี้ไม่ทำให้ติดเชื้อเสียชีวิตแต่จะรบกวนไม่ให้ผู้ติดเชื้ออยู่ได้ปกติสุขได้อย่างปกติสุข
ลักษณะทางภูมิศาสตร์
เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อปรสิตชนิด Giardia lambia เชื้อปรสิตนี้พบได้ทั่วไปในโลก โดยเฉพาะ ประเทศที่อยู่ ในเขตร้อน และพบใน เด็กเป็นส่วนมาก มักพบ ระบาดเป็นครั้งคราว ในหมู่ เด็กเล็ก หรือในกลุ่ม เด็กนักเรียน บางครั้งพบ ระบาดในหมู่ นักท่องเที่ยว และปัจจุบัน พบระบาดมาก ขึ้นในกลุ่ม รักร่วมเพศและ ผู้ป่วยที่มี ภูมิคุ้มกันต่ำ (hypogammaglobulinemia) และผู้ป่วยที่มี พยาธิสภาพของ ลำไส้แบบ nodular lymphoid hyperplasia
ลักษณะเชื้อ G. lamblia
ปรสิตชนิดนี้มี 2 ระยะ คือระยะโทรโฟซอยต์และระยะซิสต์ ระยะโทรโฟซอยต์จะมีลักษณะกลมทางด้านหน้าและเรียวแหลมลงมาด้านท้ายของเซลล์ ด้านหน้าของเซลล์จะแบนส่วนด้านหลังจะโค้งนูน มีขนาดกว้าง 5-15 ไมโครเมตร และยาว 9.5-21 ไมโครเมตร มีแฟลกเจลลาทั้งหมด 4 คู่ เนื่องจากนิวเคลียสที่อยู่เป็นคู่กันประกอบกับการมีแผ่นดูดทำให้ปรสิตชนิดนี้เมื่อถูกย้อมสีแล้วศึกษาดูด้วยกล้องจุลทรรศน์จะดูคล้ายคนใส่แว่นตาจ้องตอบมา ระยะซิสต์มีลักษณะเป็นรูปไข่ ขนาดกว้าง 7-10 ไมโครเมตร และยาว 8-12 ไม่มีแฟลกเจลลาอิสระซิสต์อ่อนมีนิวเคลียส 2 ก้อน แต่ซิสต์แก่ซึ่งเป็นระยะติดต่อจะมีนิวเคลียส 4 ก้อน
ภาพที่ 1 ระยะโทรโฟซอยต์ของ G. lamblia
ภาพที่ 1 ระยะซิสต์ของ G. lamblia
การเกิดโรค Giardiasis
Giardiasis เป็นโรคทีติดต่อได้ง่ายมาก ถ้าสมาชิกคนหนึ่งในครอบได้รับเชื้อสมาชิกที่เหลือในครอบครัวจะติดเชื้อในไม่ช้า ระยะติดต่อของปรสิตต่อของปรสิตชนิดนี้คือระยะซีสต์ซึ่งปกติแล้วจะปะปนมากับอุจจาระของผู้ติดเชื้อ การติดเชื้อจะเกิดจากการกินซิสต์แก่โดยการปนเปื้อนของซิสต์ที่นิ้วมือ ในอาหารและน้ำและการมีเพศสัมพันธ์ในลักษณะที่มีการปนเปื้อนของอุจจาระโดยเฉพาะในกลุ่มรักร่วมเพศ
วงจรชีวิตและการติดเชื้อ
เกิดจาก ผู้ป่วยทาน อาหารหรือ น้ำดื่มที่มี เชื้อระยะ cyst ปะปนเข้าไปใน ทางเดินอาหาร จากนั้น trophozoites จะออกจาก cyst มาอาศัย อยู่ในลำไส้เล็ก ตอนต้น โดยเฉพาะที่ crypts ของเยื่อบุผนังลำไส้ บริเวณ duodenum และ jejunum บริเวณส่วนอื่น ของลำไส้เล็ก ก็พบ ได้เช่นกัน เชื้อระยะ Trophozoites เพิ่มจำนวน และขยายพันธุ์ โดยการแบ่งตัว ในลำไส้ และปะปน ออกมา กับอุจจระ พร้อมระยะ cyst มากน้อย ขึ้นกับอาการ ของโรค นอกจากนี้ยังพบ trophozoites ได้ที่ common bile duct และ ถุงน้ำดี (gall bladder) โดยเฉพาะ ภายในน้ำดี ได้มีผู้ตรวจ พบเชื้อ Giardia lambia ปะปนอยู่มาก และเชื่อว่า น้ำดีเป็นตัว ช่วยในการ เจริญเติบโต ของปาราสิต ชนิดนี้ นอกจากนี้ ยังเชื่อว่า ถุงน้ำดี ท่อทางเดินน้ำดี และเยื่อบุผิวบริเวณ crypts ของลำไส้เล็กตอนต้น เป็นที่อยู่ ประจำ ของปาราสิต ชนิดนี้ นอกจากคนแล้ว สัตว์เลี้ยงเช่น สุนัชและแมว พบเชื้อปาราสิตชนิดนี้ได้ และสามารถ ติดเชื้อ มาสู่คน การติดเชื้อ ระหว่างคนกับคน โดยเชื้อปะปน มาในอาหาร และน้ำดื่มแล้ว ยังมีรายงาน การติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ในหมู่รักร่วมเพศ
อาการทางคลินิก
อาการที่เกิด กับเด็ก ย่อมแตกต่าง ไปจากผู้ใหญ่ โดยเฉพาะ ในส่วนที่เกี่ยวข้อง กับ การเจริญเติบโต ผู้ป่วยจะมี อาการปวดท้อง ในเด็กเล็ก อาการปวดท้อง มักแตกต่างกันไป อาจรู้สึก ปวดท้อง เล็กน้อย บริเวณ ยอดอก จนถึงปวดบิด (colic) บางครั้ง เกิดปวดทันที หลังทานอาหาร บางคน อาจกดเจ็บ บริเวณ ท้องพร้อมกับ มีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย สำหรับอาการ ท้องร่วง มักเป็นครั้งคราว หรือสลับกับ ท้องผูก ได้บ่อยๆ โดยทั่วไป อุจจาระมี กลิ่นเหม็น และเหลว บางคนอาจ ถ่ายอุจจาระมี มูกปนหรือ มีเลือดปนเล็กน้อย บางคน ท้องร่วงมาก อุจจาระมี ไขมันเกินปกติ (steatorrhea หรือ fatty diarrhea) บางรายอาจมีแค่ อาการตัวเหลือง และมีโรคถุงน้ำดี หรือท่อน้ำดีอักเสบ บางคนมี อาการเพียงรู้สึก ท้องอืด ท้องแน่น หรือมีเสียง ครืดคราด ในท้องเท่านั้น และบางคน มาด้วยอาการ คลื่นไส้ อาเจียน เพียงอย่างเดียว เมื่อรักษาด้วยยา อาการ ดังกล่าว ก็หายไป ผู้ป่วยเหล่านี้ พบว่าภูมิต้านทาน ชนิด IgA มักจะ ต่ำกว่าปกติ และสูงขึ้น เมื่อโรคหาย และพบ ภูมิต้านทาน ชนิด IgG ต่อเชื้อ G.lambia ขึ้นสูง แต่ไม่มีผล ในด้านการป้องกัน การเกิดระยะ ติดเชื้อเรื้อรัง
พยาธิสภาพ
ของโรค giardiasis ประกอบด้วยการเปลี่ยนแปลงใน villi ของเยื่อบุผิว ลำไส้เล็ก ซึ่งอาจมี การเปลี่ยนแปลง น้อยมาก จนถึง การเปลี่ยนแปลง ที่มีการ หดสั้นลง และหนาขึ้น ของ villi พร้อมกับ พบ เซลล์อักเสบ ชนิด neutrophils และ eosinophils เชื้อระยะ Trophozoites พบได้ในบริเวณ ที่มีการอักเสบ เหล่านี้ พยาธิสภาพ เช่นนี้ทำให้ การดูดซึมอาหาร ผ่านทางเยื่อบุผนัง ลำไส้เป็นไป ด้วยความลำบาก เกิดภาวะ ที่เรียกว่า malabsorption บางราย (41-47%) พบพยาธิสภาพ ในลำไส้ซึ่ง เป็นผลตามมา คือ nodular lymphoid hyperplasia
การวินิจฉัย
โดยการตรวจหา cyst จากอุจจาระของผู้ป่วย ในรายที่ ท้องร่วงอย่าง รุนแรงจะพบ trophozoite ในอุจจาระได้ นอกจากนี้ สามารถตรวจหา เชื้อจากน้ำย่อย ในลำไส้เล็กส่วนต้น ที่ได้จากการ ใช้สายยางสวน หรือ ตรวจหาจาก น้ำดี การขูดผิวผนัง สำไส้โดยใช้ กล้องส่องลำไส้เล็ก เพื่อตรวจหา ทางเซลล์วิทยา หรือ ตัดชิ้นเนื้อผนัง ลำไส้เล็ก เพื่อตรวจหา พยาธิสภาพ และเชื้อด้วย กล้องจุลทรรศน์ นอกจากนี้ การตรวจทาง อิ่มมูนวิทยา เป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่ใช้ช่วยใน การวินิจฉัยเช่น วิธี indirect fluorescent antibody (IFA), enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA) เป็นต้น
การรักษา
ไม่ควรรักษาด้วยตนเองควรปรึกษาแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องและปลอดภัย การรักษาทำได้โดยการให้ยา quinacrine หรือ metronidazole ซึ่งจะสามารถรักษาโรคนี้ได้ภายใน 7 วัน แต่การรักษาควรทำพร้อมกันทั้งครอบครัว เพื่อป้องกันการติดเชื้อครั้งใหม่ ในระหว่างสมาชิกภายในครอบครัวเดียวกัน การให้ยา quinacrine ทำได้โดยปริมาณยาที่ให้ในผู้ใหญ่คือ ครั้งละ 100 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ส่วนในเด็กให้ ครั้งละ 2 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง หลังอาหาร ส่วน metronidozole ให้แบบเดียวกันกับ quinacrine แต่ปริมาณยาที่ให้ในผู้ใหญ่คือ ครั้งละ 250-400 มิลลิกรัม ในเด็กให้ครั้งละ 2 มิลลิกรัม นอกจากยาทั้งสองชนิดนี้แล้วยังมียาอีกชนิดหนึ่งคือ tinidazole ซึ่งในเด็กให้ยาในปริมาณ 50 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ให้ยาเพียงครั้งเดียว ซึ่งยาชนิดนี้ให้ผลการรักษาร้อยละ 96.1 แต่มีผลข้างเคียงคือ อาการปวดศีรษะในผู้ติดเชื้อบางราย
โรคช่องคลอดอักเสบจากเชื้อโพรโตซัว
ภาวะช่องคลอดอักเสบที่พบในสตรีเกิดจากเชื้อโรคหลายชนิด แต่มีชนิดหนึ่งเป็นโปรโตซัวทำให้เกิดช่องคลอดอักเสบและมีสารคัดหลั่งซึ่งมีลักษณะเป็นหนองไหลออกมาจากช่องคลอดในสตรี โปรโตซัวชนิดนี้มีชื่อเรียกว่า ทริโคโมแนต วาจินาลิส (Trichomonas vaginalis) นอกจากนี้มันยังเป็นสาเหตุให้เกิดอาการระคายเคืองอันเนื่องมาจากท่อปัสสาวะอักเสบหรือต่อมลูกหมากอักเสบในผู้ชายได้
ลักษณะเชื้อ Trichomonas vaginalis
เชื้อโปรโตซัวชนิดนี้มีขนาดเล็ก ยาวประมาณ 7-32 ไมโครเมตร และกว้าง 5-12 ไมโครเมตร มีเยื่อคลื่นและหนวดที่เรียกว่า แฟลกเจลลา ไว้สำหรับเคลื่อนไหว
ลักษณะเชื้อ Trichomonas vaginalis
การเกิดโรค Trichomonas vaginalis
โปรโตซัวชนิดนี้อาศัยอยู่ในช่องคลอดและท่อปัสสาวะของผู้หญิง ส่วนในผู้ชายพบในต่อมลูกหมาก ในท่อเก็บอสุจิและท่อปัสสาวะ การติดต่อที่สำคัญคือ การติดต่อโดยการมีเพศสัมพันธ์
อาการและอาการแสดง
วงจรชีวิตและการติดเชื้อ
Trichomonas vaginalis อาศัยอยู่ในช่องคลอดส่วนล่างของสตรี และท่อปัสสาวะและต่อมลูกหมากในผู้ชาย (1) , มันแบ่งตัวแบบ binary fission (2) . พยาธิตัวนี้ไม่มีรูปแบบ cyst form, ไม่สามารถอยู่นอกร่างกายได้ Trichomonas vaginalis ติดต่อโดยทางเพศสัมพันธุ์ จากคนสู่คนเท่านั้น (3)Trichomonas vaginalis มีแต่ระยะ trophozoite เท่านั้น (ไม่มีระยะที่เป็น cyst) ขนาดยาว 7-23 mm เฉลี่ย13 mm กว้าง 5-12 mm เฉลี่ย 7 mm (ขนาดก็พอๆกับเม็ดเลือดขาว) มีเยื่อพัดโบกข้างตัว (undulating membrane) ช่วยในการเคลื่อนที่
พยาธิสภาพ
ในผู้ชาย การติดเชื้อ T. vaginalis ส่วนใหญ่เกิดขึ้นที่ บริเวณท่อปัสสาวะ แต่ มักจะไมพบเชื้อลุกลามไปถึงกระเพาะปัสสาวะอาจจะมีหรือไม่มีอาการ อาจมี Urethral Discharge จำนวนเล็กน้อย อาจเป็นเมือกใส่ หรือเมือกปนหนอง อาจมี ความรูสึกคันบริเวณท่อปัสสาวะ การมีหนองไหลออกมา และปัสสาวะแสบจะพบ ไม่บ่อยอาการจะมีมากถาการติดเชื้อลุกลามไปถึงต่อมลูกหมากและ Seminal Vesicles ในผู้หญิง การติดเชื้อ T. vaginalis สวนใหญ่มักเกิดขึ้นที่บริเวณที่ช่องคลอดเนื่องจากเชื้อนี้มีคุณสมบัติที่จะใช้สารอาหารจากเยื้อบุชนิด Squamous Epithelium อย่างไรก็ตามเชื้อนี้สามารถพบได้ที่บริเวณส่วนของอวัยวะสืบพันธุ์ได้การติดเชื้ออาจไม่มีอาการอะไรเลยหรือมีอาการอักเสบของช่องคลอด ซึ่งจะมีตกขาวมาก ผิดปกติ ตกขาวนี้ จะมีลักษณะสีเหลืองแกมเขียว มีกลิ่นเหม็นและมีฟอง การเก็บสิ่งส่งตรวจ (Specimen Collection)
การวินิจฉัย
การวินิจฉัยทำได้โดยไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการวินิจฉัยตามอาการและการตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยตรวจหา เชื้อปรสิตในสารคัดหลั่ง ที่ได้จากช่องคลอดหรือต่อมลูกหมาก และอาจเจอได้ในน้ำปัสสาวะ นอกจากนี้ยังสามารถตรวจ ด้วยวิธีการทางน้ำเหลืองวิทยาและอณูชีววิทยา
การรักษา
การรักษาทำได้โดยการไปพบแพทย์เพื่อให้การวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องและปลอดภัย แพทย์จะให้ยา เช่น metronidazole ซึ่งสามารถรักษาได้ภายใน 5 วัน แต่ในกรณีหญิงมีครรภ์หรือระหว่างให้นมบุตร แพทย์จะใช้ยา cotrimazole สอดทางช่องคลอด เนื่องจากการติดเชื้อปรสิตชนิดนี้โดยมากติดโดยการมีเพศสัมพันธ์ ดังนั้นการรักษาจึงควรจะทำการรักษา ผู้ป่วยพร้อมกันกับผู้ชาย ที่มีเพศสัมพันธ์ด้วยเพื่อป้องกันการติดเชื้อขึ้นมาใหม่
การป้องกัน
เนื่องจากโปรโตซัวชนิดนี้ติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นการป้องกันจะคล้ายกับการป้องกันโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์ เช่น การใช้ถุงยางอนามัยขณะมีเพศสัมพันธ์ การไม่สำส่อนทางเพศ การรักษาผู้ติดเชื้อทั้งหญิงและชาย ที่มีเพศสัมพันธ์กันเพื่อป้องกันการติดเชื้อซ้ำอีก การควบคุมทำได้โดยการให้ความรู้เกี่ยวกับการติดต่อของโปรโตซัว แก่ชุมชน และการรณรงค์การใช้ถุงยางอนามัย
โรคคริปโตสปอริดิโอซิส (Cryptosporidiosis)
โรคคริปโตสปอริดิโอซิส เป็น โรคติดต่อระหว่างสัตว์และคนที่เกิดจากเชื้อโปรโตซัวชนิดหนึ่ง ชื่อ คริปโตสปอริเดียม (cryptosporidium) ซึ่งอยู่ในกลุ่มเชื้อบิด (coccidia) โดยเชื้อระยะที่อยู่ในร่างกายคนหรือสัตว์ มักจะฝังตัวอยู่ในผนังลำไส้ ทำให้มีอาการท้องร่วงคล้ายโรคบิด เชื้อนี้พบเป็นครั้งแรกในปี พ.ศ.2450 โดย Tyzzer ตรวจพบที่เยื่อบุกระเพาะอาหารของหนูทดลอง ต่อมาในปี 2519 Nime และคณะรายงานการติดเชื้อในคนเป็นครั้งแรกใน เด็กอายุ 3 ปี โรคคริปโตสปอริดิโอซิส ในสัตว์มักพบเป็นปัญหาในลูกสัตว์เคี้ยวเอื้องที่เกิดใหม่ โดยมี คริปโตสปอริเดียม พาร์วุ่ม (C. parvum) เป็นสาเหตุสำคัญของอาการท้องเสียในลูกโค ลูกแพะ ลูกแกะ ก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจอย่างมาก ทั้งทางตรงและทางอ้อม ในสัตว์ปีกพบว่าไก่แสดงอาการของโรคทางระบบหายใจ ส่วนไก่งวงและนกกระทา แสดงอาการของโรคทางเดินอาหาร
ระบาดวิทยา
โรคคริปโตสปอริดิโอซิส พบได้ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทยสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมที่มีรายงานพบว่าติดเชื้อหรือเป็นโรคนี้โดยธรรมชาติได้แก่ โค กระบือ แพะ แกะ กวาง ม้า สุกร สุนัข แมว หนูขาว สัตวว์ปีก เช่น ไก่ ไก่งวง เป็ด ห่าน รวมทั้งปลา สัตว์เลื้อยคลาน สัตว์ป่า ปัจจุบันได้มีรายงานพบเชื้อนี้ในสัตว์กว่า 79 ชนิด ส่วนใหญ่จะพบในลูกสัตว์หรือสัตว์อายุน้อย ซึ่งอาจจะเป็นเพราะลูกสัตว์ยังมีภูมิคุ้มกันโรคต่ำ การแพร่ระบาดของเชื้อ คริปโตสปอริเดียม มักเกิดจากเชื้อผ่านออกมากับอุจจาระแล้วปะปนไปกับน้ำอาหาร แมลงและนกอาจเป็นตัวพาเชื้อจากสัตว์ตัวหนึ่งไปยังสัตว์อีกตัวหนึ่งได้ คนอาจได้รับเชื้อจากการสัมผัสโดยตรงกับคนหรือสัตว์ซึ่งปล่อยเชื้อออกมาในอุจจาระ เช่น เกิดจากการปนเปื้อนของเชื้อในน้ำประปา แหล่งน้ำสาธารณะที่ใช้อุปโภคบริโภค ในประเทศไทยมีรายงานการตรวจสอบพบเชื้อ คริปโตสปอริเดียม ในผู้ป่วยติดเชื้อ HIV (โรคเอดส์) ทั้งเด็ก และผู้ใหญ่ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในภาคกลางระหว่างปี พ.ศ.2531-2536 พบ 22 จาก 250 คน (8.8%) และการศึกษาในผู้ป่วยติดเชื้อโรคเอดส์ อายุตั้งแต่ 1 เดือน ถึง 65 ปี จำนวน 156 คน ณ โรงพยาบาลแห่งเดียวกันระหว่างเดือนมีนาคม-สิงหาคม 2544 ตรวจพบถึง 20 คน (12.8 %) ทางด้านปศุสัตว์ของประเทศไทยมีรายงานเกี่ยวกับ คริปโตสปอริเดียม น้อยมาก ในปี 2531 ลัดดา และ สุพจน์ รายงานการพบในห่านโดยสัตว์ไม่แสดงอาการป่วยในปี 2533 สุรีย์และคณะ รายงานการสำรวจจากตัวอย่างอุจจาระของลูกโค-กระบือ อายุระหว่าง 3 วัน - 4 ? เดือน พบ 83 จาก 544 ตัวอย่าง (12.63 %) โดยสัตว์ไม่แสดงอาการท้องเสียอย่างรุนแรง
การติดต่อสู่คน
แม้ว่าพบเชื้อได้ในสุนัขและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ แต่ก็เชื่อว่าคนเป็นแหล่งแพร่เชื้อสู่คนทางอาหารและน้ำดื่มที่ปนเปื้อนอุจาระ เชื้อนี้เป็นสาเหตุหนึ่งของโรคท้องร่วงในกลุ่มนักท่องเที่ยว
อาการและอาการแสดง
อาการของโรคในคนมีความสัมพันธ์กับภาวะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วย ผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันปกติ มักจะไม่มีอาการรุนแรง และหายเองได้ ส่วนผู้ที่มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องมักจะมีอาการรุนแรง เช่น ท้องเสียเฉียบพลัน โดยถ่ายวันหลายครั้งอุจจาระเป็นน้ำมูก บางรายมีอาการปวดท้องคลื่นไส้อาเจียน หรือมีไข้ร่วมด้วย โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเอดส์หรือผู้ที่ได้รับยากดภูมิคุ้มกัน จะมีอาการท้องเสียเรื้อรังและรุนแรงถึงแก่ชีวิต อาการในสัตว์ ลูกโค กระบือ มีตั้งแต่ไม่แสดงอาการจนถึงมีอาการท้องเสียร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น ขนหยอง เบื่ออาหาร เป็นไข้ ขาดน้ำ ความรุนแรงของโรคขึ้นกับปริมาณเชื้อที่สัตว์ได้รับ อาการท้องเสียอาจปรากฏอยู่นาน 4 -18 วัน สัตว์ปีกมักแสดงอาการทางระบบหายใจ เช่น ไอ จาม น้ำมูกใส หายใจลำบาก
การวินิจฉัย
การตรวจวินิจฉัยโรคคริปโตสปอริดิโอซิส อาศัยการตรวจเชื้อโดยตรงจากตัวอย่างอุจจาระของสัตว์ หือคนที่ป่วยโดยใช้สารละลายน้ำตาลเข้มข้น ผสมเพื่อให้เชื้อลอยขึ้นมาแล้วตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์โดยตรง หรือนำมาย้อมด้วยสีก่น เพื่อให้เห็นเชื้อชัดเจนขึ้น รูปร่างของ คริปโตสปอริเดียม พาร์วุ่ม ข้อนข้างกลม ขนาดเล็กมาก (4 -5 ไมครอน ) เมื่อย้อมสีจะเห็นเป็นสีชมพู หรือ แดง
Cryptosporidium parvum
การรักษา
ในคนที่ภูมิคุ้มกันปกติหรือเด็กที่ติดเชื้อให้ยานิทาโซซาไนด์ (Nitazoxanide) ร่วมกับการชดเชยน้ำ และอิเล็กโทรไลต์ในผู้ป่วยเอดส์ต้องให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี ภายใต้การสั่งยาของแพทย์
การควบคุมและป้องกัน
ผู้มีอาชีพเกี่ยวข้องกับการดูแลรักษาผู้ป่วยเลี้ยงดูและรักษาสัตว์ ต้องเดินทางเข้า-ออกในฟาร์มสัตว์ ในชนบท สวนสัตว์ สถานที่ซึ่งมีการระบาดของโรค จะต้องระวังการติดเชื้อจากคนและสัตว์ทั้งโดยการสัมผัสโดยตรงและโดยการปนเปื้อนในน้ำและอาหาร ในสัตว์ยังไม่มียาที่ให้ผลในการรักษาโรคนี้ได้แน่นอน การควบคุมจึงต้องใช้วิธีการจัดการ และสุขาภิบาลที่ดีเป็นหลัก
โรคทอกโซพลาสโมซิส (Toxoplasmosis)
ปรสิตสัตว์เซลล์เดียวกลุ่มค็อกซิเดีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Toxoplasma godii ซึ่งอยู่ในเซลล์สมอง กล้ามเนื้อ และอวัยวะอื่น ๆ ของคน
วงจรชีวิตของเชื้อ

เกี่ยวข้องกับ (1) แมวหรือสัตว์ตระกูลแมว และ (2) สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ เช่น สุกร สัตว์ปีก เช่น นก ไก่ วงจรชีวิตเริ่มจากเชื้อระยะโอโอซิสต์ ออกมาในอุจจาระของแมว ตอนที่ออกมายังเป็นโอโอซิสต์อ่อนอยู่ เมื่ออุจจาระแมวแปดเปื้อนสิ่งแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ ผัก และอุณภูมิความชื้นที่เหมาะสม จะพัฒนาไปเป็นโอโอซิสต์สุกซึ่งเป็นระยะติดต่อภายใน 5 วัน ซึ่งภายในโอโอซิสต์จะมีสปอโรซิสต์ 2 ก้อน แต่ละก้อน มีสปอโรซอยต์ 4 ตัว เมื่อสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ เช่น สุกร สัตว์ปีก กินโอโอซิสต์สุกดังกล่าว สปอโรซอยต์ออกมาในลำไส้เล็ก ไชเข้าผนังลำไส้เล็ก เข้ากระแสโลหิตไปทั่วร่างกายสู่อวัยวะภายในต่าง ๆ เข้าอยู่ในเซลล์และแบ่งตัวเพิ่มจำนวนโดยไม่อาศัยเพศ ผลผลิตคือกลมที่เรียกว่าซิสต์เทียม (pseudocyst) ภายในก้อนมีแทไคซอยต์ (tachyzoite) 8-32 ตัว รูปคล้ายกล้วยหอม ถ้าซิสต์แตก แทไคซอยต์เข้าเซลล์ข้างเคียงและพัฒนาไปเป็นซิสต์อีก เมื่อภูมิคุ้มกันของสัตว์ต่อต้าน แทไคซอยต์เข้าเซลล์อวัยวะภายในที่ภูมิคุ้มกันเข้าไม่ถึง เช่น สมอง กล้ามเนื้อ หัวใจ ลูกตา และแบ่งตัวอย่างช้า ๆ และสร้างผนังมาห่อหุ้มกลุ่มตนเองไว้ เรียกว่าซิสต์ (tissue cyst) ภายในมีแบรดีซอยต์ (bradyzoite) รูปเหมือนกับแทไคซอยต์ จำนวนมากได้ถึง 3000 ตัวแมวติดเชื้อจากการกินเนื้อสัตว์ที่มีแบรดีซอยต์ ในลำไส้แมว เชื้อแบรดีซอยต์ เข้าเซลล์บุผนังลำไส้เล็ก แบ่งตัวเพิ่มจำนวนแบบไม่อาศัยเพศ ทำให้เซลล์แตก เมโรซอยต์ออกมาและเข้าเซลล์ข้างเคียงและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนต่อไป ระหว่างนั้น เมโรซอยต์ส่วนหนึ่งที่เข้าเซลล์จะไม่แบ่งตัว แต่จะพัฒนาไปเป็นมาโครแกมีตและไมโครแกมีต ทำปฏิสนธิกันได้เป็นไซโกต สร้างผนังหุ้มกลายเป็นโอโอซิสต์อ่อน ซึ่งออกมากับอุจจาระ เมื่ออุจจาระแปดเปื้อนดินหรือน้ำภายใต้สภาวะที่เหมาะสม จะพัฒนาไปเป็นโอโอซิสต์สุก (sporulated oocyst) มีสปอโรซิสต์สองก้อน แต่ละก้อนมีสปอโรซอยต์สองตัว กระบวนการพัฒนาไปเป็นโอโอซิสต์สุกใช้เวลา ประมาณ 5 วันนอกจากแมวจะติดเชื้อโดยวิธีข้างต้นแล้ว ยังอาจติดจากการกินแทไคซอยต์และโอโอซิสต์ได้ด้วย แต่ประสิทธิภาพการติดเชื้อด้อยกว่าแบบแรก

โอโอซิสต์ในอุจจาระแมว
โอโอซิสต์สุก
ซิสต์ในสมอง
แทไคซอยต์
การก่อโรคในคน
ในระยะเฉียบพลัน คนที่มีภูมิคุ้มกันปกติมักไม่มีอาการหรือมีเล็กน้อยจนไม่สังเกตหรืออาการไม่จำเพาะ ทำให้ไม่ได้เข้ารับการรักษาโรงพยาบาล เช่น อาการคล้ายเป็นไข้หวัด เจ็บคอ มีอาการปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ บางรายมีอาการต่อมน้ำเหลืองที่ ต้นคอ แถวมุมกราม หลังใบหู เป็นต้น ซึ่งอาการอาจจะบรรเทาลงและหายไปเองได้ แต่จะเข้าสู่ระยะเรื้อรัง มีน้อยรายที่แทคคิซอยต์เข้าไปเจริญในอวัยวะสำคัญ เช่น ปอด ตับ สมอง ทำให้เกิดการตายของเนื้อเยื่อและเสียชีวิตได้ ถ้ารอดตายก็จะเข้าสู่ระยะเรื้อรังและมีภูมิคุ้มกันไปตลอดชีวิต ต่อเมื่อภูมิคุ้มกันบกพร่อง เชื้อก็จะถูกกระตุ้นให้เจิญเติบโตและแบ่งตัวและก่อโรคอีกครั้ง
ในระยะเรื้อรัง เชื้อในสมองและกล้ามเนื้อยู่ในรูปซิสต์เนื้อเยื่อ มีผนังหุ้มสามารถหลบจากภูมิคุ้มกันได้ ผู้ติดเชื้อจึงไม่แสดงอาการป่วยแต่อย่างใดและมีชีวิตปกติ แต่ถ้าเชื้อที่เข้าลูกตาอาจทำให้เกิดรอยโรคที่จอตาและเยื่อโครอยด์อักเสบตามมาใน 1 ปี ถึง 3.5 ปี
ลักษณะทางภูมิศาสตร์
พบได้ทั่วโลกโดยเฉพาะเขตร้อนและเขตชิดร้อน รวมทั้งประเทศไทยพบการติดเชื้อทั้งในคนปกติและคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
การวินิจฉัยโรค
ตรวจหาเชื้อยากจึงมักตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อแทน แต่ในผู้ป่วยเอดส์มีภูมิมคุ้กันบกพร่อง การตรวจแบบนี้จึงไม่ช่วยมากนัก
การรักษา
ไทรเมโทรพริม-ซัลฟาเมท็อกซาโซล หรือยาที่มีชื่อการค้าว่า แบคทริม โคทริม เซปทรา
การป้องกัน
ดื่มน้ำสะอาด อาหารที่ปรุงสุก ล้างผัก ผลไม้ให้สะอาดในประเทศเขตอบอุ่นหรือหนาวและเลี้ยงแมวในบ้านควรทำความสะอาดถาดอุจจาระแมวด้วยน้ำร้อนเพื่อทำลายโอโอซิสต์หญิงมีครภ์ควรหลีกเลี่ยงการอุ้มแมวหรือล้างถาดอุจจาระแมว
โรคไอโซสปอริเอซิส (Isosporiasis)
ปรสิตสัตว์เซลล์เดียวกลุ่มค็อกซิเดีย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Isospora belli ซึ่งอยู่ในเซลล์บุผนังลำไส้เล็กของคน
วงจรชีวิตของเชื้อ
เชื้อระยะโอโอซิสต์ ออกมาในอุจจาระของผู้ติดเชื้อ ตอนที่ออกมายังเป็นโอโอซิสต์อ่อนอยู่ แต่ภายใน 7 วัน จะพัฒนาไปเป็นโอโอซิสต์สุกซึ่งเป็นระยะติดต่อ ซึ่งภายในจะมีสปอโรซิสต์ 2 ก้อน แต่ละก้อน มีสปอโรซอยต์ 4 ตัว เมื่อคนกินโอโอซิสต์สุกดังกล่าว สปอโรซอยต์ออกมาในลำไส้เล็ก ไชเข้าเซลล์บุผนังลำไส้ และแบ่งตัวเพิ่มจำนวนโดยไม่อาศัยเพศ ผลผลิตขั้นสุดท้ายเรียกว่าเมโรซอยต์ การแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเชื้อในเซลล์บุผนังลำไส้ทำให้เซลล์แตก เมโรซอยต์ออกมาและเข้าเซลล์ข้างเคียงและแบ่งตัวเพิ่มจำนวนต่อไป ระหว่างนั้น เมโรซอยต์ส่วนหนึ่งที่เข้าเซลล์จะไม่แบ่งตัว แต่จะพัฒนาไปเป็นมาโครแกมีตและไมโครแกมีต ทำปฏิสนธิกันได้เป็นไซโกต สร้างผนังหุ้มกลายเป็นโอโอซิสต์อ่อน ซึ่งออกมากับอุจจาระ
ลักษณะทางภูมิศาสตร์
พบได้ทั่วโลกโดยเฉพาะเขตร้อนและเขตชิดร้อน รวมทั้งประเทศไทยพบการติดเชื้อทั้งในคนปกติและคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง การระบาดเกิดได้ในสถานเลี้ยงเด็ก
อาการและอาการแสดง
ท่องร่วง อุจจาระเป็นน้ำหรือมีมูก แต่ไม่มีเลือดในอุจจาระ (ต่างจากบิดมีตัวเพราะอุจจาระมีมูกเลือด) ปวดท้องคล้ายตะคริว ถ้าเป็นเรื้อรังทำให้ลำไส้ดูดซึมอาหารได้ไม่ดี น้ำหนักตัวลด คนปกติมักหายจากโรคเองได้และโรคมักไม่รุนแรง แต่ในเด็กและคนภูมิคุ้มกันบกพร่อง อาการท้องร่วงจะรุนแรง ถ่ายบ่อย จำเป็นต้องรักษา แต่เนื่องจากคนที่ปวดท้องไม่สามารถแยกท้องร่วงจากสาเหตุอื่น ๆ เช่น อาหารเป็นพิษ จึงต้องมาโรงพยาบาลเพื่อตรวจอุจจาระหาเชื้อโดยผู้เชี่ยวชาญ
การติดต่อเข้าสู่คน
แม้ว่าจะพบเชื้อได้ในสุนัขและสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ แต่ก็เชื่อว่าคนเป็นแหล่งแพร่เชื้อสู่คนทางอาหารและน้ำดื่มที่แปดเปื้อนอุจจาระ
การวินิจฉัยโรค
ตรวจอุจจาระภายใต้กล้องจุลทรรศน์ โดยอาจตรวจสดหรือย้อมสีแอซิดฟาสต์ การตรวจสดจะพบโอโอซิสต์อ่อน ยาวรี ขนาดกว้าง 10-19 ยาว 20-33 ไมโครเมตร ผนังบาง ใส ภายในมีก้อนหนึ่งหรือสองก้อน การตรวจโดยย้อมสีจะเห็นเชื้อติดสีแดงในขณะที่บริเวณโดยรอบติดสีเขียวหรือน้ำเงิน
เสมียร์อุจจาระ ไม่ย้อมสี
เสมียร์อุจจาระย้อมสีแอซิดฟาสต์
การรักษา
กินยาไทรเมโทรพริม-ซัลฟาเมท็อกซาโซล ภายใต้การสั่งยาของแพทย์
การป้องกัน
ดื่มน้ำสะอาด อาหารที่ปรุงสุก
อ้างอิง
(ที่มา: http://www.med.cmu.ac.th/dept/parasite/framepro.htm-Flagellates- Giardia lamblia)
(ที่มา: http://www.med.cmu.ac.th/dept/parasite/framepro.htm-Flagellates- Trichomonas vaginalis)
เรียบเรียงโดยสัตวแพทย์หญิงปัจฉิมา อินทรกำแหง (สิงหาคม 2548)